อาณาจักรยุคต้น
ประวัติศาสตร์ยุคต้น


ราวๆ พ.ศ. 1400 ชาวไทยได้พบดินแดนแหลมทอง สามารถยึดอำนาจจากชาวขอม (เขมร) ได้สำเร็จ เป็นยุคของการเริ่มต้นสร้างสมอารยธรรมของตนเองขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของชนชาติไทยอย่างแท้จริง ทั้งด้านการปกครอง – การเมือง – เศรษฐกิจ-ศาสนา และวัฒนธรรม ที่เด่นชัดแตกต่างไปจากชนชาติจีน และชนชาติขอม ที่มีมาก่อนหน้านี้ ทำให้ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านั้นมักจะปะปนอยู่กับประวัติศาสตร์ของชาวจีนและขอมในลักษณะของชนกลุ่มน้อยที่อาศัยปะปนอยู่กับชนชาติจีนและขอม เมื่อรวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรของตนเองได้ชนชาติไทยก็เริ่มสร้างระบบการปกครองของตนเองขึ้น ในยุคต้นได้เริ่มใช้ระบบการปกครองแบบกษัตริย์ที่ทรงมีฐานะเป็น “พระเจ้า” หรือ “พญา”
มีความสนิทสนมใก้ลชิดกับประชากรอย่างยิ่ง เนื่องจากอาณาจักรไทยในยุคต้นๆ เป็นอาณาจักรที่มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก จึงทำให้กษัตริย์กับประชากรหรือไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมีความสนิทสนมใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง ถือว่าพระมหากษัตริย์ก็คือสามัญชนที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินคนทั่วไป มีเรื่องอะไรก็ประชุมปรึกษาหารือกัน เมื่อเกิดศึกสงครามประชาชนทุกคนก็ร่วมกันต่อสู้เป็นทหารด้วยกันหมด สภาพทางการปกครอง การดูแลความเป็นอยู่ด้านเศรษฐกิจเป็นไปอย่างทั่วถึง จนทำให้ความขัดแย้งระหว่างกับกษัตริย์ซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง กับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่เป็นชนชั้นผู้ถูกปกครองมีอยู่น้อยมาก ความขัดแย้งทางด้านการเมืองการปกครองในยุคต้นๆ มักจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นปกครองด้วยกันเอง โดยเฉพาะในช่วงผลัดเปลี่ยนการปกครอง ซึ่งเป็นความขัดแย้งในเรื่องของการแย่งชิงกันขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นส่วนใหญ่ และความขัดแย้งนี้ก็ไม่มีเคยมีเหตุการณ์ใดที่รุกรามเป็นสงครามขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งระหว่างวงศ์ตระกูล หรือเหล่าเคลือญาติของชนชั้นปกครองเอง ซี่งมักจะจบลงด้วยการยินยอมสวามิภักดิ์ของฝ่ายที่พ่ายแพ้โดยไม่เกิดเป็นสงครามขนาดใหญ่เหมือนกับชาติอื่นๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป

แม้จะยังไม่ได้ข้อยุติว่าชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ไหน แต่หลักฐานทางโบราณคดีระบุชัดเจนว่าดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน มีกลุ่มคนอาศัยอยู่อย่างสืบเนื่องตลอดมา และมีมรดกทางวัฒนธรรมตกทอดผสมผสานเป็นวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน
อาณาจักรฟูนัน พุทธศตวรรษที่ 6-11

การก่อตั้งอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรฟูนันปรากฏชื่อในบันทึกของนักเดินเรือและ พระชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกล่าวถึง อาณาจักรฟูนัน ว่าเป็นอาณาจักรในดินแดนแถบนี้ คำว่า ฟูนัน หมายถึง พนม ที่แปลว่า ภูเขา อาณาจักรฟูนัน คังไถ ทูตจีนที่มา ฟูนันได้กล่าวว่า เมื่อโกฑัญญะกษัตริย์จาก ต่างแดนเข้ามารบชนะและ ได้แต่งงานกับพระนางหลิวเย้ นางพญา ของชน ชาวพื้นเมือง โกฑัญญะปกครองเป็น พระราชาองค์แรกของอาณาจักรฟูนัน มีเชื้อสายมาจากชาวอินเดีย
อิทธิพลทางวัฒนธรรมของอาณาจักร ฟูนันได้แพร ่กระจายไปอย่างกว้างขวางในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จดหมายเหตุจีนสมัยต่างๆ ที่บันทึกเรื่องราวของฟูนันระยะแรก มีดังนี้
1. จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ซ้อง กล่าวถึงการตั้งราชวงศ์ของฟูนันว่าอยู่ราว คริสต์-ศตวรรษที่ 1 และกล่าวถึงเรื่องทูตที่ฟูนันส่งไปในจีนหลายครั้ง
2. จดหมายเหตุราชวงศ์จิ้น กล่าวถึงอาณาจักรฟูนัน ว่าอยู่ริมทะเล ห่างจากประเทศลินยี่ (จามปา) ไปทางตะวันตกกว่า 3,000 ลี้ (1 ลี้ = 576 เมตร) มีความกว้างของอาณาจักร 3,000 ลี้ เมืองซึ่งมี กำแพงพระราชวังและบ้านเมืองของราษฎรประชาชนชอบแกะสลักตัวหนังสือ
3. หนังสือนานจิวยิวูเจของวันเจน ซึ่งมีชีวิตอยู่ระยะคริสต์ศตวรรษที่ 3กล่าวว่า ฟูนันอยู่ห่างลินยี่ไปทางตะวันตกกว่า 3,000 ลี้
3. หนังสือนานจิวยิวูเจของวันเจน ซึ่งมีชีวิตอยู่ระยะคริสต์ศตวรรษที่ 3กล่าวว่า ฟูนันอยู่ห่างลินยี่ไปทางตะวันตกกว่า 3,000 ลี้
ศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนัน ศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนันปัจจุบันนักวิชาการยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนันอยู่บริเวณใด มีข้อสันนิษฐานดังนี้ คืออยู่ทางใต้ของเขมรในปัจจุบัน บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่ออกแก้วหรือบาพนม หรืออยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เมืองอู่ทอง (สุพรรณบุรี)หรือนครปฐมโบราณ จึงเป็นไปได้ว่าศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนันมีการเคลื่อนย้ายมิได้ตั้งอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งเมืองท่าที่สำคัญคือ เมืองออกแก้ว อยู่ในประเทศเวียดนามปัจจุบันฟูนันมีเมืองขึ้นหลายเมือง อยู่กระจัดกระจายแถบปากแม่น้ำโขง จามปา รวมทั้งดินแดนเจนละแถบแม่น้ำมูล ดินแดนทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและที่สำคัญมากชื่อ ตุนสุน ซึ่งนักโบราณคดีตีความว่าอาณาจักรตุนสุนน่าจะเป็นทวารวดีในสมัยต่อมาในช่วงเวลาที่ฟูนันเริ่มแตกสลายเพราะว่าช่วงเวลาติดต่อกันพอดีแต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน ดินแดนที่ฟูนันได้ไว้ในอำนาจมักจะอยู่แถบไซ่ง่อนและด้านเหนือขี้นไป จนถึงอาณาจักรจามปา ซึ่งบางคราวก็ตกอยู่ใต้อำนาจของฟูนันด้วย
ความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนและอินเดีย ฟูนันเป็นอาณาจักรใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 7 - 8 สิ้นสุดลงราวพุทธศตวรรษที่ 10 มีเมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ ชึ่งตั้งอยู่ใกล้เนินบาพนม และหมู่บ้านบานามในจังหวัดแวง ของประเทศเขมร และได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับทั้งจีนและอินเดีย โดยส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี หลายครั้งจดหมายเหตุจีนสมัยสามก๊ก กล่าวว่าใน พ.ศ.786 อาณาจักรฟูนันได้ส่งคณะทูตมายังจีนพร้อมด้วย นักดนตรีและนำพืชผลในอาณาจักรมาเป็นเครื่องบรรณาการ กำหนดส่ง 3 ปีต่อครั้ง อาณาจักรฟูนันเป็นผู้ริเริ่ม ส่งบรรณาการไปจีน
อาณาเขตของอาณาจักรฟูนัน อาณาเขต อาณาจักรฟูนันมีความเจริญสูงสุดประมาณ พ.ศ. 800 -900 โดยมีอิทธิพลเหนืออาณาจักรต่างๆในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และอาณาจักรทางใต้ไปจนถึงปลายแหลมมลายู นอกจากนี้อาณาจักรฟูนันยังมีอำนาจไปถึงดินแดนบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนใต้ของเวียดนามหลักฐานส่วนใหญ่ทีใช้ศึกษาประวัติศาสตร์อาณาจักรฟูนัน ใช้หลักฐานจากบันทึกของจีนโดยคำว่า “ ฟูนัน ” เป็นคำในภาษาจีนปัจจุบันที่มาจากภาษาจีนโบราณว่า “ บุยหนำ ” ซึ่งใช้เรียกรัฐที่ตั้งขึ้นก่อนอาณาจักรกัมพูชาซึ่งมีที่ตั้งอยู่ตามลำน้ำโขงตั้งแต่เมืองโชดก (เขตแดนกัมพูชา – เวียดนาม) จนถึงเมืองพนมเปญ(กัมพูชา) คำว่า บุยหนำ จีนใช้เรียกตามชื่อตำแหน่งประมุขรัฐ
การสร้างบ้านเรือนของอาณาจักรฟูนัน ชาวฟูนันอาศัยในบ้านใต้ถุนสูงมุงด้วยใบไม้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ใช้ร่วมกัน เมืองต่างๆ ของฟูนันมีกำแพงเมืองล้อมรอบ ในเมืองจะมีพระราชวัง และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยการสร้างบ้านเรือนประชาชนธรรมดาสร้างแบบใต้ถุนสูง สร้างด้วยอิฐฉาบปูนสำหรับสถานที่ราชการ และมีการสร้างกำแพงอิฐฉาบปูนรอบเมืองหลวง กษัตริย์ประทับบนปราสาทราชมนเทียรหลายชั้น สร้างด้วยไม้หายาก ตกแต่งหรูหรา ชาวฟูนันรู้จักใช้เรือ ซึ่งลักษณะรูปร่างปรากฏคล้ายกับภาพบนกลองสัมฤทธิ์ เป็นเรือขุดแคบๆ ยาวๆ หัวเรือเป็นรูปสัตว์ เช่น ปลา พญานาค ขนาดยาวประมาณ 80-90 ฟุต กว้าง 6-7 ฟุต คงใช้ในการติดต่อค้าขาย หรือรุกรานดินแดนอื่น
สภาพสังคมและวิถีชีวิตของชาวอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรฟูนันมีความเจริญทางอารยธรรม มากที่สุดผู้ปกครองของฟูนันมีรายได้มาจากการค้าทางเรือ สินค้าของฟูนันคือสินค้าพื้นเมือง ชาวฟูนันมีฝีมือทางแกะสลักไม้ ทำเครื่องทองรูปพรรณได้สวยงามมาก เศรษฐกิจ ของฟูนันขึ้นอยู่กับการค้าและการเกษตร
ความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนและอินเดีย ฟูนันเป็นอาณาจักรใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 7 - 8 สิ้นสุดลงราวพุทธศตวรรษที่ 10 มีเมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ ชึ่งตั้งอยู่ใกล้เนินบาพนม และหมู่บ้านบานามในจังหวัดแวง ของประเทศเขมร และได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับทั้งจีนและอินเดีย โดยส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี หลายครั้งจดหมายเหตุจีนสมัยสามก๊ก กล่าวว่าใน พ.ศ.786 อาณาจักรฟูนันได้ส่งคณะทูตมายังจีนพร้อมด้วย นักดนตรีและนำพืชผลในอาณาจักรมาเป็นเครื่องบรรณาการ กำหนดส่ง 3 ปีต่อครั้ง อาณาจักรฟูนันเป็นผู้ริเริ่ม ส่งบรรณาการไปจีน

การสร้างบ้านเรือนของอาณาจักรฟูนัน ชาวฟูนันอาศัยในบ้านใต้ถุนสูงมุงด้วยใบไม้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ใช้ร่วมกัน เมืองต่างๆ ของฟูนันมีกำแพงเมืองล้อมรอบ ในเมืองจะมีพระราชวัง และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยการสร้างบ้านเรือนประชาชนธรรมดาสร้างแบบใต้ถุนสูง สร้างด้วยอิฐฉาบปูนสำหรับสถานที่ราชการ และมีการสร้างกำแพงอิฐฉาบปูนรอบเมืองหลวง กษัตริย์ประทับบนปราสาทราชมนเทียรหลายชั้น สร้างด้วยไม้หายาก ตกแต่งหรูหรา ชาวฟูนันรู้จักใช้เรือ ซึ่งลักษณะรูปร่างปรากฏคล้ายกับภาพบนกลองสัมฤทธิ์ เป็นเรือขุดแคบๆ ยาวๆ หัวเรือเป็นรูปสัตว์ เช่น ปลา พญานาค ขนาดยาวประมาณ 80-90 ฟุต กว้าง 6-7 ฟุต คงใช้ในการติดต่อค้าขาย หรือรุกรานดินแดนอื่น
สภาพสังคมและวิถีชีวิตของชาวอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรฟูนันมีความเจริญทางอารยธรรม มากที่สุดผู้ปกครองของฟูนันมีรายได้มาจากการค้าทางเรือ สินค้าของฟูนันคือสินค้าพื้นเมือง ชาวฟูนันมีฝีมือทางแกะสลักไม้ ทำเครื่องทองรูปพรรณได้สวยงามมาก เศรษฐกิจ ของฟูนันขึ้นอยู่กับการค้าและการเกษตร
ลักษณะการประกอบอาชีพของชาวอาณาจักรฟูนัน ชาวเมืองมีอาชีพกสิกรรม รู้จักการชลประทาน ขุดคลองเพื่อทดน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูก รู้จักทำเครื่องปั้น ดินเผา การแกะสลัก ทำเครื่องประดับและเครื่องใช้ต่างๆ รู้จักการต่อเรือ ราษฎรต้องเสียภาษีให้รัฐเป็นทองคำ ไข่มุก และเครื่องหอม พืชที่ปลูกคือ ข้าว ฝ้ายและอ้อย กีฬาที่สำคัญ คือ ชนไก่และชนหมู ฟูนันมีการส่งทูต
ติดต่อกับจีน ครั้งแรกในสมัย ของฟันซิมัน กลางคริสต์ศตวรรษที่ 3 ตรงกับสมัยจีนแบ่งเป็น 3 ก๊ก พวกก๊กทางใต้สุดแถบกวางตุ้งเห็นความสำคัญในการติดต่อกับทางแหลมอินโดจีนทางการค้ามาก จึงมีไมตรีอันดีต่อกันอยู่เสมอ จีนได้ส่งทูตมาฟูนันด้วยแต่เป็นการติดต่อทางการค้ากันเป็นส่วนใหญ่

ลักษณะความเป็นอยู่ของอาณาจักรฟูนัน ชาวฟูนันมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ มีความซื่อสัตย์ ไม่ลักเล็กขโมยน้อย มีการแบ่งชนชั้น ของสังคม พวกชนชั้นสูงจะสวมโสร่ง ผู้หญิงใช้ผ้าคลุมศีรษะ ประชาชนทั่วไปใช้ผ้าพันกายเพียงผืนเดียว ไม่นิยมสวมรองเท้า แต่นิยมใช้เครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน ทองคำ และไข่มุกลักษณะหน้าตาของชาวฟูนัน ได้แก่ ตัวเล็ก ผิวดำผมหยิก สันนิษฐานว่าคงเป็นพวกผสมกับคนพื้นเมืองดั้งเดิม
ลักษณะการเมืองการปกครองของอาณาจักรฟูนัน ได้รับอิทธิพลจากอินเดียตามคติ เทวราชา ถือว่ากษัตริย์เป็นเทพเจ้า มีลักษณะการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีสถานภาพเป็นสมมติเทพ มีอำนาจสูงสุดในการปกครองบัญชาการทางทหาร และการพิพากษาคดีเลียนแบบกฎหมายมนูธรรมศาสตร์ของชาวอินเดียมาใช้เป็นแบบอย่างกฎหมายของตน แต่เพื่อความสงบสุขของอาณาจักรได้ส่งคณะทูตและบรรณาการไปยังประเทศจีนทำให้ไม่ถูกจีนรุกรานและจีนไม่ได้ส่งข้าหลวงจีนมาปกครองคงปล่อยให้กษัตริย์ปกครอง
บ้านเมืองอย่างเป็นอิสระ การตัดสินคดีความ ใช้วิธีถือเหล็กเผาไฟจนสุกแดงแล้วเดินไป 7 ก้าว ถ้ามือไม่ไหม้พองก็ถือว่าบริสุทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาต้องถือศีลก่อน 3 วัน แล้วจึงจะเอามาพิสูจน์ ในฟูนันไม่มีคุกตาราง ใช้วิธีตัดสินเลย
บ้านเมืองอย่างเป็นอิสระ การตัดสินคดีความ ใช้วิธีถือเหล็กเผาไฟจนสุกแดงแล้วเดินไป 7 ก้าว ถ้ามือไม่ไหม้พองก็ถือว่าบริสุทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาต้องถือศีลก่อน 3 วัน แล้วจึงจะเอามาพิสูจน์ ในฟูนันไม่มีคุกตาราง ใช้วิธีตัดสินเลย
รูปแบบศิลปกรรมของอาณาจักรฟูนัน หลักฐานทางโบราณคดี ที่พบในอาณาจักรฟูนัน เป็นพระพุทธรูปแบบคุปตะของอินเดียและประติมากรรม รูปพระวิษณุสวมหมวกทรงกระบอก เหรียญเงินและเครื่องงา แบบอินเดีย ลูกปัด เศษเครื่องถ้วยชาม เครื่องประดับทำด้วยโลหะ พบที่เมืองออกแก้ว บริเวณปากแม่น้ำโขงภาคใต้ ประเทศเวียดนามปัจจุบัน สันนิษฐานว่า เมืองออกแก้วเป็นเมืองท่าของอาณาจักรฟูนัน ในประเทศไทยพบบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำมูล เมืองสำคัญต่างๆคือ จันเสน(นครสวรรค์) อู่ทอง(สุพรรณบุรี) นครชัยศรี(นครปฐม) ศรีมโหสถ(ปราจีนบุรี) โนนสูง(นครราชสีมา) ศรีเทพ(เพชรบูรณ์) และละโว้(ลพบุรี)โดยเฉพาะที่เมืองอู่ทองและศรีมโหสถ ทั้งสองเมืองอาจเป็นเมืองศูนย์กลางการติดต่อค้าขายทางทะเลเพราะปรากฏร่องน้ำใหญ่ที่เรือเดินทะเลสามารถเข้าจอดได้โบราณวัตถุที่พบในบริเวณนี้ เป็นของจากต่างประเทศที่มีลักษณะร่วมสมัยกับสิ่งของที่อาณาจักรฟูนัน เช่น ลูกปัด ดวงตรา เหรียญเงิน เครื่องประดับและเครื่องใช้จากอินเดีย กรีก โรมันตะวันออกกลางและจีน
สถาปัตยกรรมของอาณาจักรฟูนัน ลักษณะสถาปัตยกรรมของอาณาจักรฟูนัน ส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ ดังนั้น จึงมีเหลืออยู่น้อยมาก ที่ยังพบเห็นได้ในปัจจุบันบริเวณเมืองออกแก้ว เป็นสิ่งก่อสร้างเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมยุคก่อนเมืองพระนคร เป็นอาคารที่สร้างด้วยหิน ก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม ยกพื้นสูงประมาณ 75 – 100 เซนติเมตร หน้าต่างเป็นวงโค้งขนาดย่อมหลังคาซ้อนกันเป็นชั้นเล็กๆ
ความเจริญด้านวัฒนธรรม ศาสนาและภาษาของอาณาจักรฟูนัน ชาวฟูนันนับถือศาสนาหลายนิกายมีทั้งพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและมหายานศาสนาพราหมณ์ไศวะนิกาย มีการบูชาพระ
มเหศวร (พระศิวะ) และไวษณพนิกาย บูชาพระนารายณ์(พระวิษณุ)ชนชั้นปกครองของฟูนันนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนิกายไศวะที่บูชาพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด พวกชนพื้นเมืองนับถือนิกายไวษณพที่บูชาพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าสูงสุด และนับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน และยังมีการนับถือบูชาเทพเจ้าอีกหลายองค์ เช่น เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าเทพเจ้าแห่งฝน พ.ศ. 1078-1088 ราชสำนักจีนได้ส่งราชทูตมายังอาณาจักรฟูนัน เพื่อขอให้รวบรวมคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาและส่งภิกษุที่เป็นครูให้เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในประเทศจีน ภาษา ชาวฟูนันมีภาษาและอักษรของตนเอง มีวิวัฒนาการมาจากตัวอักษรของอินเดียนอกจากนั้นยังใช้ภาษาสันสกฤตด้วย

ความเจริญของอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรฟูนันได้เจริญในระยะศตวรรษที่ 5 และได้ถ่ายทอดความเชื่อถือเกี่ยวกับการนับถือภูเขาว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และผู้ปกครองนั้นอยู่ในฐานะเจ้าแห่งภูเขาให้กับพวกในหมู่เกาะอินโดนีเซีย ความเชื่อนี้ฟูนันรับมาจากอินเดียเรื่องเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลดังนั้นผู้ปกครองของฟูนันและผู้ปกครองอาณาจักรอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีการจ้างพราหมณ์ไว้ในราชสำนักในฐานะที่พราหมณ์เป็นผู้รู้ความเป็นไปของสุริยจักรวาล เป็นผู้ที่สามารถตั้งศูนย์กลางของจักรวาล (สัญลักษณ์ของจักรวาลคือภูเขา) และประกอบพิธีกรรมการสถาปนากษัตริย์ให้อยู่ในฐานะเทวดาผู้สิงสถิตอยู่บนยอดเขา ทำให้ฐานะของกษัตริย์มีความมั่นคงทางการเมืองเพิ่มขึ้น พวกเขมรใช้คำว่า พนม นำหน้าชื่อเมืองหลวง
ความเสื่อมของอาณาจักรฟูนัน ความเสื่อมของอาณาจักรฟูนัน เกิดจากพวกเขมรที่อยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรฟูนันได้มีกำลังเข้มแข็งขึ้นทำให้อาณาจักรฟูนันเสื่อมลง กษัตริย์เขมรชื่อ ภววรมัน ยกทัพมาตี จนอาณาจักรฟูนันต้องได้รับความพ่ายแพ้แพ้เมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันได้ตั้งตนเป็นอิสระและตั้งแต่นั้นมาฟูนันก็ถูกเขมรกลืนชาติจนหมดอย่างไรก็ตามเขมรก็ได้รับเอาอารยธรรมต่างๆมาจากอาณาจักรฟูนัน
มรดกทางวัฒนธรรมของอาณาจักรฟูนัน มรดกทางวัฒนธรรมของอาณาจักรฟูนัน มีการสืบทอดรูปแบบทาง สถาปัตยกรรมการก่อสร้าง หลังคาอาคารที่เป็นชั้นซ้อนกันเตี้ย ๆ ตัวอย่างเช่น การทำหลังคาโบสถ์และวิหารในปัจจุบัน ส่วนรูปแบบศิลปกรรมที่แสดงอิทธิพลของศิลปะอมราวดีของอินเดีย เครื่องประดับพบว่า ได้มีอิทธิพลต่อรูปแบบของเครื่องประดับทวารวดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับประเภทลูกปัดและเครื่องประดับที่ทำด้วยโลหะทั้งทองคำและสำริดเช่น ต่างหู และแหวน ลักษณะของโบราณวัตถุเหล่านี้คล้ายคลึงกับที่พบในเขตเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และที่จันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และ ศิลปกรรมรุ่นศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์
การแต่งกายของชาวฟูนัน เครื่องประดับของชาวฟูนัน มีเช่นเดียวกับรัฐ ที่เจริญแล้ว มีการนุ่งห่มด้วยผ้าอย่างสวยงาม พวกชนชั้นสูงมีเครื่องนุ่งห่มทอด้วยไหมเงินไหมทอง พวกผู้หญิงใช้ผ้าคลุมศีรษะชนิดหนึ่งคล้ายหมวกแขก คนจนก็มีผ้านุ่งนอกจากนี้ยังมีการใช้ผ้าปูลาดตรงที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรฟูนันมีการใช้ผ้ารูปแบบต่างๆ ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าไหม และผ้าแพร ชาวฟูนันยังนำผ้าประดับที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้อื่นๆ อีกด้วย บุรุษนุ่งโจงกระเบนยาวคลุมหัวเข่าคาดเข็มขัดและพับขอบผ้านุ่ง ชักชายผ้าออกมาค่อนข้างมากปิดหัวเข็มขัด และเครื่องประดับร่างกายมีทั้งศิราภรณ์ กรองศอ ต่างหู พาหุรัด กำไลข้อมือและเข็มขัดทั้งบุรุษและสตรีน่าจะไว้ผมยาวเกล้าผมมุ่นเป็นมวยไว้กลางกระหม่อม และมีเครื่องประดับศีรษะ ได้แก่ พวงดอกไม้รัดรอบมวยผม เกี้ยว สำหรับประดับรอบมวยผม กะบังหน้าหรือ เทริด ด้านหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยมยอดแหลม ตรงกลางเทริดประกอบด้วยลายดอกไม้ขนาดใหญ่ 1 ดอก ชฎามกุฎ ทรงกรวย ยอดตัดด้านหน้าทำเป็นกรอบพักตร์มีลายคล้ายกระจังอยู่ตรงกลาง หวีสับน่าจะมีการใช้หวีรูปยาว ซึ่งขอบสลักเป็นรูปลายดอกไม้ หรือรูปสัตว์อย่างสวยงามมาก หวีติดอยู่บนศรีษะใช้เป็นเครื่องประดับแบบหนึ่ง ตามแบบอินเดีย กรองศอ มีใช้ทั้งบุรุษและสตรี ที่ปรากฏในรูปสลักจะเป็นแถบกว้าง ตรงกลางกว้างกว่าด้านข้าง และเรียวไปทางด้านหลัง ตรงกลางส่วนที่กว้างทำเป็นลายดอกไม้
ส่วนด้านล่างเป็นพู่คล้ายอุบะสั้นๆ เรียงร้อยกันไปตลอด
ความเสื่อมของอาณาจักรฟูนัน ความเสื่อมของอาณาจักรฟูนัน เกิดจากพวกเขมรที่อยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรฟูนันได้มีกำลังเข้มแข็งขึ้นทำให้อาณาจักรฟูนันเสื่อมลง กษัตริย์เขมรชื่อ ภววรมัน ยกทัพมาตี จนอาณาจักรฟูนันต้องได้รับความพ่ายแพ้แพ้เมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันได้ตั้งตนเป็นอิสระและตั้งแต่นั้นมาฟูนันก็ถูกเขมรกลืนชาติจนหมดอย่างไรก็ตามเขมรก็ได้รับเอาอารยธรรมต่างๆมาจากอาณาจักรฟูนัน
มรดกทางวัฒนธรรมของอาณาจักรฟูนัน มรดกทางวัฒนธรรมของอาณาจักรฟูนัน มีการสืบทอดรูปแบบทาง สถาปัตยกรรมการก่อสร้าง หลังคาอาคารที่เป็นชั้นซ้อนกันเตี้ย ๆ ตัวอย่างเช่น การทำหลังคาโบสถ์และวิหารในปัจจุบัน ส่วนรูปแบบศิลปกรรมที่แสดงอิทธิพลของศิลปะอมราวดีของอินเดีย เครื่องประดับพบว่า ได้มีอิทธิพลต่อรูปแบบของเครื่องประดับทวารวดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับประเภทลูกปัดและเครื่องประดับที่ทำด้วยโลหะทั้งทองคำและสำริดเช่น ต่างหู และแหวน ลักษณะของโบราณวัตถุเหล่านี้คล้ายคลึงกับที่พบในเขตเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และที่จันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และ ศิลปกรรมรุ่นศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์
การแต่งกายของชาวฟูนัน เครื่องประดับของชาวฟูนัน มีเช่นเดียวกับรัฐ ที่เจริญแล้ว มีการนุ่งห่มด้วยผ้าอย่างสวยงาม พวกชนชั้นสูงมีเครื่องนุ่งห่มทอด้วยไหมเงินไหมทอง พวกผู้หญิงใช้ผ้าคลุมศีรษะชนิดหนึ่งคล้ายหมวกแขก คนจนก็มีผ้านุ่งนอกจากนี้ยังมีการใช้ผ้าปูลาดตรงที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรฟูนันมีการใช้ผ้ารูปแบบต่างๆ ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าไหม และผ้าแพร ชาวฟูนันยังนำผ้าประดับที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้อื่นๆ อีกด้วย บุรุษนุ่งโจงกระเบนยาวคลุมหัวเข่าคาดเข็มขัดและพับขอบผ้านุ่ง ชักชายผ้าออกมาค่อนข้างมากปิดหัวเข็มขัด และเครื่องประดับร่างกายมีทั้งศิราภรณ์ กรองศอ ต่างหู พาหุรัด กำไลข้อมือและเข็มขัดทั้งบุรุษและสตรีน่าจะไว้ผมยาวเกล้าผมมุ่นเป็นมวยไว้กลางกระหม่อม และมีเครื่องประดับศีรษะ ได้แก่ พวงดอกไม้รัดรอบมวยผม เกี้ยว สำหรับประดับรอบมวยผม กะบังหน้าหรือ เทริด ด้านหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยมยอดแหลม ตรงกลางเทริดประกอบด้วยลายดอกไม้ขนาดใหญ่ 1 ดอก ชฎามกุฎ ทรงกรวย ยอดตัดด้านหน้าทำเป็นกรอบพักตร์มีลายคล้ายกระจังอยู่ตรงกลาง หวีสับน่าจะมีการใช้หวีรูปยาว ซึ่งขอบสลักเป็นรูปลายดอกไม้ หรือรูปสัตว์อย่างสวยงามมาก หวีติดอยู่บนศรีษะใช้เป็นเครื่องประดับแบบหนึ่ง ตามแบบอินเดีย กรองศอ มีใช้ทั้งบุรุษและสตรี ที่ปรากฏในรูปสลักจะเป็นแถบกว้าง ตรงกลางกว้างกว่าด้านข้าง และเรียวไปทางด้านหลัง ตรงกลางส่วนที่กว้างทำเป็นลายดอกไม้
ส่วนด้านล่างเป็นพู่คล้ายอุบะสั้นๆ เรียงร้อยกันไปตลอด
อาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) พุทธศตวรรษที่ 7 – 19
การตั้งถิ่นฐาน
สมัยก่อนประวัติศาสตร์

จากหลักฐานพบว่า การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในพื้นที่จังหวัดสงขลา เริ่มมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ ๖,๐๐๐ ปีมาแล้ว หลักฐานส่วนใหญ่พบตามถ้ำและเพิงหินบนภูเขาทางด้านทิศตะวันตก และทิศใต้ของจังหวัด พบภาชนะดินเผาแบบหม้อสามขา ภาชนะเผาลายเชือกทาบ ขวานหินขัด โครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ในสมัยหินใหม่ฝังอยู่ในถ้ำและเพิงหินทางทิศเหนือของเขารักเกียรติ ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ พบภาขนะดินเผาลายเชือกทาบ ในสมัยหินใหม่เป็นจำนวนมาก ที่เขารูปช้าง ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา พบขวานหินขัดที่บ้านควนตูล อำเภอเมือง ฯ ที่ตำบลบาโหย อำเภอสะบ้าย้อย และที่บริเวณคาบสมุทรสทิงพระ
จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่า คนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เดิมมีชีวิตแบบสังคมล่าสัตว์ หาของป่า ในพื้นที่ป่าเขาทางด้านทิศาตะวันตกและทิศใต้ของจังหวัด ต่อมาได้อพยพลงสู่ที่ราบริมน้ำเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ - ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว มีวิถีชีวิตแบบชาวน้ำ ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก และจับสัตว์น้ำบริเวณทะเลสาบสงขลา และชายทะเลอ่าวไทย บางส่วนได้อพยพลงสู่ที่ราบริมทะเลอ่าวไทย ในเขตอำเภอจะนะ เนื่องจากได้พบกลองมโหระทึกที่หล่อด้วยสำริด แสดงให้เห็นถึงการติดต่อกับชุมชนภายนอก เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
ชนชาติจีนและอินเดีย ได้นำวัฒนธรรมอันเนื่องด้วยศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ เมื่อผสมกับวัฒนธรรมเดิม จึงได้พัฒนาเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของสงขลา ชุมชนค่อย ๆ เจริญขึ้นเป็นชุมชนเมืองท่าในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ
สมัยชุมชนโบราณบนตาบสมุทรสทิงพระ ชุมชนสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของสงขลา น่าจะได้เริ่มพัฒนาขึ้นในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ มาปรากฎหลักฐานชัดเจนเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ และรุ่งเรืองมาจนถึงพุทธศตววรษที่ ๑๘ - ๑๙ พบชุมชนโบราณกระจายอยู่หลายชุมชน ที่สำคัญได้แก่
จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่า คนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เดิมมีชีวิตแบบสังคมล่าสัตว์ หาของป่า ในพื้นที่ป่าเขาทางด้านทิศาตะวันตกและทิศใต้ของจังหวัด ต่อมาได้อพยพลงสู่ที่ราบริมน้ำเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ - ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว มีวิถีชีวิตแบบชาวน้ำ ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก และจับสัตว์น้ำบริเวณทะเลสาบสงขลา และชายทะเลอ่าวไทย บางส่วนได้อพยพลงสู่ที่ราบริมทะเลอ่าวไทย ในเขตอำเภอจะนะ เนื่องจากได้พบกลองมโหระทึกที่หล่อด้วยสำริด แสดงให้เห็นถึงการติดต่อกับชุมชนภายนอก เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
ชนชาติจีนและอินเดีย ได้นำวัฒนธรรมอันเนื่องด้วยศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ เมื่อผสมกับวัฒนธรรมเดิม จึงได้พัฒนาเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของสงขลา ชุมชนค่อย ๆ เจริญขึ้นเป็นชุมชนเมืองท่าในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ
สมัยชุมชนโบราณบนตาบสมุทรสทิงพระ ชุมชนสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของสงขลา น่าจะได้เริ่มพัฒนาขึ้นในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ มาปรากฎหลักฐานชัดเจนเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ และรุ่งเรืองมาจนถึงพุทธศตววรษที่ ๑๘ - ๑๙ พบชุมชนโบราณกระจายอยู่หลายชุมชน ที่สำคัญได้แก่

ชุมชนโบราณสทิงพระ อยู่ในเขตตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ เป็นบริเวณที่พบโบราณวัตหถุหลายยุค หลายสมัยปะปนกัน และมีการสืบเนื่องมาจนเป็นเมืองใหญ่ มีศูนย์กลางอยู่ที่บ้านสทิงพระ ปัจจุบันเรียกว่า ในเมือง ยังปรากฎร่องรอยคูน้ำคันดิน และซากโบารณวัตถุและโบราณสถาน เป็นจำนวนมาก
ชุมชนโบราณบริเวณเขาคูหา - เขาพะโคะ อยู่ในเขตตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ มีสระน้ำขนาดใหญ่ที่เนื่องในพิธีกรรม และถ้ำที่เป็นเทวสถาน บริเวณนี้น่าจะเป็นศูนย์กลางในทางพิธีกรรมของทางศาสนาพราหมณ์
ชุมชนสีหยัง อยู่ในเขตตำบลบ่อพรุ อำเภอระโนด พบสถูปโบราณและคูน้ำคันดินรอบบริเวณที่ตั้งวัดสีหยัง
ในบรรดาชุมชนที่กล่าวแล้ว ชุมชนโบราณสทิงพระเป็นชุมชนสำคัญที่มีการพัฒนาการต่อเนื่องจนเป็นเมืองใหญ่ เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า มีกำแพงและคูเมืองล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ด้านทิศเหนือกว้าง ๒๘๐ เมตร ด้านทิศตะวันออกกว้าง ๒๗๐ เมตร ด้านทิศใต้กว้าง ๒๗๕ เมตร และทางด้านทิศใต้กว้าง ๓๐๕ เมตร
ชุมชนสีหยัง อยู่ในเขตตำบลบ่อพรุ อำเภอระโนด พบสถูปโบราณและคูน้ำคันดินรอบบริเวณที่ตั้งวัดสีหยัง
ในบรรดาชุมชนที่กล่าวแล้ว ชุมชนโบราณสทิงพระเป็นชุมชนสำคัญที่มีการพัฒนาการต่อเนื่องจนเป็นเมืองใหญ่ เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า มีกำแพงและคูเมืองล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ด้านทิศเหนือกว้าง ๒๘๐ เมตร ด้านทิศตะวันออกกว้าง ๒๗๐ เมตร ด้านทิศใต้กว้าง ๒๗๕ เมตร และทางด้านทิศใต้กว้าง ๓๐๕ เมตร
เมืองสทิงพระ มีกำเนิดและพัฒนาการมาอย่างไร ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่มีเอกสารเพลานางเลือดขาว เรียกเมืองสทิงพระว่ากรุงสทิงพาราณสี และเจ้าพระยาสทิงพระ ชื่อว่าเจ้าพระยากรุงสทิงพาราณสี เมืองสทิงพระได้เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘ ในสมัยตามพรลิงค์และสมัยศรีวิชัย เมืองสทิงพระได้ปกครองดูแลเมืองเล็กเมืองน้อยที่ตั้งอยู่โดยรอบทะเลสาบสงขลา และริมคลองที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา รวมทั้งเมืองพัทลุง ที่อยู่ในปกครองของเมืองสทิงพระด้วย
เมืองสทิงพระมีเจ้าปกครองมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ได้กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของแหลมมลายูตอนเหนือ เป็นเมืองท่าค้าขายกับนานาชาติ โดยเฉพาะจีน อินเดีย และอาหรับ เมืองสทิงพระได้เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยเริ่มเสื่อมอำนาจ ทำให้อาณาจักรตามพรลิงค์ หรือแคว้นนครศรีธรรมราชมีอำนาจเหนือเมืองต่าง ๆ บนแหลมมลายู โดยจัดการปกครองเมืองบริวารหรือเมืองขึ้นสิบสองเมืองนักษัตร ในช่วงนี้เมืองสทิงพระตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรตามพรลิงค์

ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรตามพรลิงค์กับเกาะลังกา ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและศิลปวัฒนธรรม ในบริเวณที่ลุ่มทะเลสาบสงขลาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากได้มีการนำพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์มาเผยแผ่ที่นครศรีธรรมราช มีการสร้างวัดวาอาราม พระมหาธาตุเจดีย์ตามคติลังกาวงศ์ขึ้นหลายแห่ง เช่น พระมหาธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว พระมหาธาตุเจดีย์วัดจะทิ้งพระพระมหาธาตุเจดีย์วัดเจดีย์งาม และพระมหาธาตุเจดีย์วัดพะโคะ เป็นต้น ทำให้เมืองสทิงพระเจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางด้านพระพุทธศาสนา และการเมืองการปกครองในแถบลุ่มทะเลสาบสงขลา
เมืองสทิงพระเริ่มเสื่อมอำนาจลงเมืองประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เกิดการย้ายเมืองไปตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบคือ เมืองพัทลุง เมืองพัทลุงจึงได้พัฒนาขึ้นเป็นเมืองสำคัญ มีอำนาจเหนือชุมชนรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาแทนเมืองสทิงพระ ในขณะเดียวกันก็อยู่ในอำนาจของเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาเมื่ออำนาจของกรุงศรีอยุธยาได้แผ่มาถึงเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมืองพัทลุงจึงขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ชื่อเมืองสทิงพระเริ่มเลือนหายไป
นอกจากเมืองสทิงพระแล้วตามตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราชได้กล่าวถึงพระพนมวังนางเสดียงทอง ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช ได้ให้เจะระวังลา และเจะลาบู ผู้เป็นภรรยาซึ่งเป็นมุสลิม นำผู้คนล่องเรือมาสร้างบ้านแปลงเมืองที่เมืองจะนะเทพา เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ แสดงว่านอกจากการตั้งบ้านเมืองบนคาบสมุทรสทิงพระแล้ว ยังมีการตั้งถิ่นฐานที่บริเวณเมืองจะนะอีกด้วย
เมืองสทิงพระเริ่มเสื่อมอำนาจลงเมืองประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เกิดการย้ายเมืองไปตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบคือ เมืองพัทลุง เมืองพัทลุงจึงได้พัฒนาขึ้นเป็นเมืองสำคัญ มีอำนาจเหนือชุมชนรอบลุ่มทะเลสาบสงขลาแทนเมืองสทิงพระ ในขณะเดียวกันก็อยู่ในอำนาจของเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาเมื่ออำนาจของกรุงศรีอยุธยาได้แผ่มาถึงเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมืองพัทลุงจึงขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ชื่อเมืองสทิงพระเริ่มเลือนหายไป
นอกจากเมืองสทิงพระแล้วตามตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราชได้กล่าวถึงพระพนมวังนางเสดียงทอง ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช ได้ให้เจะระวังลา และเจะลาบู ผู้เป็นภรรยาซึ่งเป็นมุสลิม นำผู้คนล่องเรือมาสร้างบ้านแปลงเมืองที่เมืองจะนะเทพา เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ แสดงว่านอกจากการตั้งบ้านเมืองบนคาบสมุทรสทิงพระแล้ว ยังมีการตั้งถิ่นฐานที่บริเวณเมืองจะนะอีกด้วย

ตามพรลิงค์ จากหลักฐานทางโบราณคดีเชื่อว่า เมืองหลวงของอาณาจักรนี้อยู่ที่นครศรีธรรมราช ร่องรอยคูเมืองและกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่ปรากฏในตัวเมืองนครศรึธรรมราชปัจจุบัน ประกอบกับหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบ แสดงว่าอาณาจักรตาพรลิงค์เคยเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ความสำคัญของอาณาจักรนี้ คือ เป็นแหล่งรับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเป็นครั้งแรก มีการสร้างพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระพุทธสิหิงค์ (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่หอพระพุทธสิหิงค์ จ.นครศรีธรรมราช) แม้อาณาจักรตามพรลิงค์จะมีอายุนานกว่า 1,000 ปี แต่ระหว่างนั้นบางช่วงก็ตกอยู่ในอำนาจของอาณาจักรอื่น เช่น ศรีวิชัย ทวารวดี และกรุงศรีอยุธยา
จดหมายเหตุจีนเรียกอาณาจักรนี้ว่า ตันเหมยหลิง หรือ ต้าหลิง ตรงกับหลักฐานเอกสารของอินเดียและศิลาจารึกที่พบในท้องถิ่นว่า ตามพรลิงค์ ผลจากการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีทำให้เชื่อว่าเมืองหลวงของอาณาจักรตามพร ลิงค์อยู่นครศรีธรรมราช
จดหมายเหตุจีนเรียกอาณาจักรนี้ว่า ตันเหมยหลิง หรือ ต้าหลิง ตรงกับหลักฐานเอกสารของอินเดียและศิลาจารึกที่พบในท้องถิ่นว่า ตามพรลิงค์ ผลจากการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีทำให้เชื่อว่าเมืองหลวงของอาณาจักรตามพร ลิงค์อยู่นครศรีธรรมราช

เมืองบ้านท่าเรือ เขตตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่ตั้งเมืองหลวงในยุคแรก เพราะอยู่ในทำเลที่เหมาะมากในการติดต่อค้าขายทางทะเล มีลำน้ำออกสู่ทะเล มีลำน้ำออกสู่ทะเล เรือเดินทะเลเข้าถึง แต่เป็นเมืองขนาดเล็ก
เมืองพระเวียง เขตตำบลศาลามีชัย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงในยุคที่สอง ลักษณะของเมืองมีขนาดใหญ่ขึ้น มีกำแพงเมืองขนาดใหญ่และแข็งแรง อยู่ในทำเลที่มีพื้นที่ทำการเพาะปลูกทำนามากขึ้น สามารถเลี้ยงพลเมืองจำนวนมากๆ ได้
เมืองนครศรีธรรมราช บริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดในปัจจุบัน เป็นที่ตั้งเมืองหลวงในยุคที่สาม
หลักฐานทั้งศิลาจารึก ตำนาน และพงศาวดารต่างๆ เช่น จารึกหลักที่ 24 วัดเสมาเมือง คัมภีร์มหานิเทศของอินเดีย เป็นต้น ทำให้สันนิษฐานว่า ตามพรลิงค์เป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองติดต่อกันมาหลายสมัย ตามพรลิงค์ในพุทธศตวรรษที่ 18 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นนครศรีธรรมราช ปรากฏพระนามกษัตริย์ชื่อ ศรีธรรมาโศกราช บ้าง และ จันทรภาณุ บ้าง มีอำนาจทางการเมืองครอบคลุมเมืองต่างๆ ถึง 12 เมือง คือ สายบุรี ปัตตานี กลันตัน ปาหัง ไทรบุรี พัทลุง ตัง ชุมพร บันไทยสมอ สงขลา ตะกั่วป่าและกระบุรี โดยใช้สัตว์ประจำปีเป็นตราของเมืองนั้นๆเช่น สายบุรีใช้ตราหนู ปัตตานีใช้ตราวัว เป็นต้น และเวลาล่วงมาถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 นครศรีธรรมราชก็ได้มีอิทธิพลครอบคลุมไปทั่วแหลมมลายู บรรดาหัวเมืองและเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่ในแถบนี้ก็ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่ง ของนครศรีธรรมราช
หลักฐานทั้งศิลาจารึก ตำนาน และพงศาวดารต่างๆ เช่น จารึกหลักที่ 24 วัดเสมาเมือง คัมภีร์มหานิเทศของอินเดีย เป็นต้น ทำให้สันนิษฐานว่า ตามพรลิงค์เป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองติดต่อกันมาหลายสมัย ตามพรลิงค์ในพุทธศตวรรษที่ 18 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นนครศรีธรรมราช ปรากฏพระนามกษัตริย์ชื่อ ศรีธรรมาโศกราช บ้าง และ จันทรภาณุ บ้าง มีอำนาจทางการเมืองครอบคลุมเมืองต่างๆ ถึง 12 เมือง คือ สายบุรี ปัตตานี กลันตัน ปาหัง ไทรบุรี พัทลุง ตัง ชุมพร บันไทยสมอ สงขลา ตะกั่วป่าและกระบุรี โดยใช้สัตว์ประจำปีเป็นตราของเมืองนั้นๆเช่น สายบุรีใช้ตราหนู ปัตตานีใช้ตราวัว เป็นต้น และเวลาล่วงมาถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 นครศรีธรรมราชก็ได้มีอิทธิพลครอบคลุมไปทั่วแหลมมลายู บรรดาหัวเมืองและเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่ในแถบนี้ก็ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่ง ของนครศรีธรรมราช

นครศรีธรรมราชในช่วงพุทธศตวรรษที่18 ที่กำลังมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่นั้นได้กลายเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาบนคาบสมุทรมลายู เดิมทีเดียว นครศรีธรรมราช มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านพระพุทธศาสนา ทั้งนิกายเถรวาทและนิกายอาจริยวาทหรือมหายาน ครั้นถึงช่วงปลายพุทธศตวรรษที่18 นครศรีธรรมราชได้หันไปนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับลังกา ในระยะนั้นพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทอย่างลังกาวงศ์เจริญรุ่งเรืองมากในลังกา พระภิกษุเมืองนครศรีธรรมราชได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่เมืองลังกา เพื่อบวชแปลงตามนิกายเถรวาทอย่างลังกาวงศ์และได้ชักชวนพระภิกษุสงฆ์ชาว ลังกามาฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่เมืองนครศรีธรรมราช พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทอย่างลังกาวงศ์จึงเข้ามาสู่ดินแดนไทยเป็นครั้งแรก ที่นครศรีธรรมราช และภายหลังพระภิกษุสงฆ์จากเมืองนครศรีธรรมราชได้นำพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท อย่างลังกาวงศ์ได้ฝังรากลึกลงในสังคมไทยนับตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา
นครศรีธรรมราชมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับราชวงศ์ที่ปกครองบ้าน เมืองบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง ต่อมานครศรีธรรมราชได้เข้ามาอยู่ใต้อิทธิพลของกรุงสุโขทัยในปีพ.ศ. 1850และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาในปีพ.ศ. 1893
สงขลา เป็นเมืองที่สำคัญมากเมืองหนึ่งในภาคใต้ของไทย มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายอย่างด้วยกัน เช่น ขวานหินขัด เครื่องปั้นดินเผาลายเชือกทาบ และหม้อสามขา เป็นต้น ในเขตอำเภอรัตภูมิ อำเภอสะเดา อำเภอจะนะ อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเมือง ฯ ในสมัยประวัติศาสตร์รัฐโบราณได้พบหลักฐานความเจริญในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ โดยมีเมืองสทิงพระเป็นศูนย์กลางการปกครอง และเป็นเมืองท่าค้าขายติดต่อกับจีน อินเดีย มลายู ชวา ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นศูนย์กลางการค้ากับนานาชาติ พ่อค้าจากตะวันออก และตะวันตก ได้เดินทางเข้ามาค้าขาย บางพวกได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน เมืองสงขลาจึงเป็นแหล่งผสมผสานทางวัฒนธรรมอันหลากหลายแห่งหนึ่ง
อาณาจักรศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ 11 – 17
อาณาจักรศรีวิชัย ก่อตั้งขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 11 เป็นรัฐชายฝั่งทะเลที่มีอิทธิพลการค้าทางทะเลระหว่างอินเดียกับเมืองรวมทั้งการค้าระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในหมู่เกาะอินโดนีเซีย จุดเริ่มต้นของอาณาจักรศรีวิชัยมาจากการอ่านศิลาจารึกหลักที่ 23 ซึ่งมีศักราชกำกับว่าเป็นพุทธศักราช 1318 ที่พบทางภาคใต้ของประเทศไทยในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราชหรือสุราษฎร์ธานี จารึกมีข้อความที่กล่าวถึง “พระเจ้ากรุงศรีวิชัย” และเมื่อนำไปประกอบกับบันทึกของภิกษุอี้จิง (I-Ching) ซึ่งได้เดินทางโดยทางเรือจากเมืองกวางตุ้งมาศึกษาพระธรรมวินัยในปี พ.ศ. 1214 ได้กล่าวว่า เมื่อเดินทางเรือมาได้ 20 วัน ได้แวะอาณาจักรโฟซิ (Fo-Shih) ท่านได้แวะศึกษาไวยากรณ์ภาษาสันสกฤตอยู่ 6 เดือนก่อนที่จะเดินทางไป
อินเดีย หลังจากศึกษาที่อินเดียอยู่ 10 ปี ได้กลับมาที่โฟซิอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นได้กลายเป็นอาณาจักร ซิลิโฟซิ (Shih-li-Fo-Shih) ไปแล้ว ศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดย์ สรุปว่าอาณาจักรเซลิโฟซิ ก็คือ อาณาจักรศรีวิชัย อันเป็นอาณาจักรหนึ่งที่มีอำนาจทางการเมืองมั่นคง มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมหมู่เกาะต่างๆ บริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรมาเลย์ ตลอดขึ้นมาถึงดินแดนบางส่วนของคาบสมุทร โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย

นักโบราณคดีหลายท่านมีความเห็นสอดคล้องกับศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดย์ เนื่องจากได้พบศิลาจารึก 8 หลักบนเกาะสุมาตรา มีอยู่ 2 หลัก กำหนดอายุในช่วงเดียวกับการเดินทางมาถึงของภิกษุอี้จิง อย่างไรก็ตามนักวิชาการ เช่น ราเมชจันทร์ มาชุมดาร์ ควอริทช์-เวลส์ และหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี มีความเห็นว่า ศูนย์กลางของศรีวิชัยควรจะอยู่บนคาบสมุทรมาเลย์ โดยเฉพาะหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี มีความเห็นว่าจารึกที่กล่าวถึงอาณาจักรศรีวิชัยที่พบที่ไชยา สุราษฎร์ธานี นั้น เป็นจารึกภาษาสันสกฤต ซึ่งตรงกับบันทึกของภิกษุอี้จิง ในขณะที่จารึกที่พบบนเกาะสุมาตราเป็นภาษามลายูโบราณ และเมื่อพิจารณาถึงการเดินเรือเพียง 20 วัน ของภิกษุอี้จิง ควรถึงเมืองไชยา สุราษฎร์ธานี และคงไม่ผ่านเส้นศูนย์สูตรไปถึงเกาะสุมาตรารวมทั้งทางภาคใต้ของประเทศไทยก็ได้พบโบราณวัตถุ โบราณสถาน ซึ่งมีลักษณะที่เรียกว่า “ศิลปกรรมแบบศรีวิชัย” กำหนดอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-18
ลักษณะศิลปแบบศรีวิชัยส่วนมากเป็นศิลปที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน จึงมักพบพระรูปพระโพธิสัตว์ เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระศรีอายิยเมตไตรยโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ไวโรจนะ และศิลปวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์ในลัทธิไวษณพนิกาย นอกจากนั้นยังพบร่องรอยของสถาปัตยกรรมตลอดจนโบราณสถานทั้งในปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา และคาบสมุทรมาเลย์ทางภาคใต้ของประเทศไทย

ความสำคัญของศรีวิชัยที่ปรากฏจากจดหมายเหตุของจีนสมัยราชวงศ์ถังคือ เป็นศูนย์กลางการค้าขายสินค้าข้ามสมุทรทางฝั่งทะเลตะวันตกและตะวันออก ผ่านช่องแคบมะละกา ดังนั้นจึงได้พบ ลูกปัดจากดินแดนทางตะวันตกและเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งพบเรื่อยลงมาทั้งที่เกาะสุมาตราและทางภาคใต้ของประเทศไทย แต่ในที่สุดความรุ่งเรืองทางการค้าของศรีวิชัยก็ลดลงเมื่อ จีนได้พัฒนาเรือที่ค้าขายและทำการค้าขายโดยตรงกับบ้านเมืองที่อยู่ชายฝั่งทะเลตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ทำให้เมืองทางแถบคาบสมุทรทางภาคใต้ของประเทศไทยรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ศูนย์กลางของศรีวิชัยอยุ่ที่เมืองใด เป็นปัญหาที่ยังไม่ยุติ อาจมีหลายเมืองสืบต่อกันและเมืองหลวงแห่งแรกคือ ปาเลมบัง เมืองปาเลมบังตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของเกาะสุมาตรา มีแม่น้ำมูสีไหลผ่านตัวเมืองเข้าไปจนถึงแผ่นดินภายในเกาะ สภาพเช่นนี้ ทำให้ปาเลมบังเป็นเมืองท่าที่เหมาะสม สำหรับการขนถ่ายสินค้าจากภายในแผ่นดินออกสู่ทะเล ดังนั้นศรีวิชัยจึงสามารถครอบครองช่องแคบมะละกา ตลอดจนรัฐในคาบสมุทรมลายูทั้งหมด รวมทั้งลังกาสุคะที่ร่วมสมัยกัน
โอ ดับเบิลยู โวลเตอร์ ชาวอเมริกันผู้เชียวชาญประวัติศาสตร์โบราณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นผู้เสนอว่า เมืองปาเลมบังเป็นศูนย์กลางของศรีวิชัย เพราะจากการศึกษาทางโบราณคดีพบเมืองโบราณ มีคูน้ำล้อมพระราชวัง มีร่องรอยการค้าต่างประเทศคือ ถ้วยชามกระเบื้องสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้องตอนต้นของจีน บริเวณภูเขาบูกิตซีกุนตัง และมีจารึกของชาวอินโดนีเซียตั้งแต่ พ.ศ.1225 ที่จารึกไว้ว่ามีแคว้นศรีวิชัยตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านกะรังอันยาร์ ซึ่งอยู่ทางฝ่างด้านเหนือของแม่น้ำมูกับเมืองปาเลมบัง และในจดหมายเหตุของมาเลย์ก็บันทึกไว้ว่าหมู่บ้านกะรังอันยาร์เป็นถิ่นกำเนิดของผู่ก่อตั้งรัฐมะละกา

ศูนย์กลางของศรีวิชัยจึงเป็นปัญหาที่ยังไม่ยุติ แต่กระนั้นบริเวณคาบสมุทรมลายูก็เป็นส่วนหนึ่งของศรีวิชัยและเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่มีชื่อเสียงมาก มีความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม ประชาชนนับถือศาสนาพุทธมหายานและศาสนาพราหมณ์ ร่องรอยที่เหลือไว้คือโบราณสถานและโบราณวัตถุ ทางด้านสถาปัตยกรรมสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงคือ พระบรมธาตุไชยา เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมทรงมณฑปและเจดีย์ศรีวิชัยที่วัดแก้ว ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกจากนั้นยังมีที่จังหวัดพัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช และพังงา เป็นต้น ส่วนตอนบนของประเทศไทยมีร่องรอยแสดงว่าอิทธิพลของศรีวิชัยได้แพร่ขึ้นไปอาจเป็นเพราะเมื่อครั้งสมัยสุโขทัยตอนต้นๆ ได้รับเอาพุทธศาสนาและศิลปกรรมไปจากเมืองนครศรีธรรมราช ทำให้มีสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย ที่จังหวัดสวรรคโลก คือ มณฑปวัดเจดีย์เจ็ดแถว และเจดีย์ในวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย รวมทั้งเจดีย์องค์เล็กในวัดพระธาตุ หริภุญชัย เป็นต้น
ทางด้านประติมากรรมมีพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงคือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พบที่วัดมหาธาตุ อำเภอไชยา มีพระพิมพ์ดินดิบปางต่างๆ พระพิมพ์ติดแผ่นเงินแผ่นทองทางด้านศาสนาพราหมณ์ได้แก่ เทวรูปพระมาลาแขก เทวรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นต้น

ราชวงศ์ที่ปกครองศรีวิชัยคือราชวงศ์ไศเลนทร์ ปกครองตลอดทั่วไปในแหลมมลายูลงไปถึงเกาะต่างๆ ศรีวิชัยมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพราะสามารถควบคุมช่องแคบมะละกาได้ เรือที่ผ่านไปมาต้องแวะพักจอดเรือตามเมืองท่าต่างๆ ของแค้วนศรีวิชัย ศรีวิชัยมีความสัมพันธ์กับประเทศจีนเป็นอย่างดี มีการส่งคณะทูตไปเจริญสัมพนธ์ไมตรีกับจีนเป็นระยะๆ ประมาณ 12 ครั้ง และใน พ.ศ. 1536 เคยขอความช่วยเหลือจากจีนให้ช่วยปราบกองทัพของชวาที่ยกมารุกราน และใน พ.ศ. 1550 ศรีวิชัยได้ทำสงครามกับแคว้นมะทะรัม ซึ่งอยู่ในชวากลาง และได้รับชัยชนะจึงมีอำนาจเหนือมะทะรัม
กลางพุทธศตวรรษที่ 16 ทำสงครามกับพวกโจละ (Chola อยู่ทางตะวันออกของอินเดีย) เพราะโจละ จะเข้าแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้าแถบแหลมมลายูไปจากศรีวิชัย การรบดำเนินมาหลายปี ที่สำคัญเกิดขึ้นใน พ.ศ. 1568 แถบเมืองตักโกละ (ตะกั่วป่า หรือ ตรัง) เคดาห์ ตูมาสิก (สิงคโปร์) ลังกาสุคะ นครศรีธรรมราช ไชยา แม้จะยึดครองศรีวิชัยไม่ได้แต่สงครามครั้งนี้มีผลให้บรรดาเมืองต่างๆ ที่เคยขึ้นต่อแคว้นศรีวิชัยกระด้างกระเดื่องจนถึงขั้นยกทัพมาชิงดินแดนบางแห่ง เช่น พระเจ้าไอร์ลังคะ แห่งแคว้นเคดีรีในชวาตะวันออก ผลจากการทำสงครามกับโจละ ทำให้ศูนย์กลางจากศรีวิชัยย้ายจากเมืองไชยาไปอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาอำนาจทางการปกครองของศรีวิชัย เปลี่ยนจากราชวงศ์ไศเลนทร์ไปเป็นราชวงศ์ปทุมวงศ์ กษัตริย์ของศรีวิชัยราชวงศ์ใหม่พยายามรักษาอิทธิพลบนแหลมมลายูไว้ รวมทั้งช่องแคบและหมู่เกาะ
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 – 19 ศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลงมาก เพราะเกิดจลาจลในคาบสมุทรมลายู และมีแคว้นคู่แข่งเกิดขึ้น แห่งคือ ในชวาตะวันออกมีแคว้น เคดีรี ส่วนทางเหนือมีอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งราชวงศ์มองโกล (พ.ศ. 1803 – 1911) ของจีนให้การสนับสนุนเคดีรีเขายึดครองบางส่วนของศรีวิชัย คือดินแดนบางส่วนในอินโดนีเซียปัจจุบันไว้ ต่อมาได้สูญเสียคาบสมุทรมลายูให้กับอาณาจักรสุโขทัยที่ยึดนครศรีธรรมราชได้ แล้วสุโขทัยได้แผ่ขยายอำนาจลงมาเรื่อยๆ ศรีวิชัยจึงสลายลงโดยปรากฏจากหลักฐานของมาร์โคโปโล นักสำรวจชาวเวนิส ใน พ.ศ. 1835 ที่แวะเยือนสุมาตราระหว่างเดินทางกลับจากจีน หลังจากที่อยู่ที่จีนได้ 17 ปี มาร์โคโปโลไม่ได้บันทึกเรื่องราวของศรีวิชัยเลย กล่าวแต่ว่ามีแคว้นเล็ก 8 แห่ง จึงตีความได้ว่าศรีวิชัยอาจแตกเป็นแคว้นต่างๆ หรือเมืองต่างๆ 8 แห่ง โดยแต่ละเมืองมีกษัตริย์ปกครอง
พบหลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นบ้านเมืองและแคว้นหรือรัฐร่วมสมัยอาณาจักรศรีวิชัย (สุจิตต์ วงษ์เทศ และคณะ, 2531 : 58-70) คือ แคว้นไชยา มีขอบเขตตั้งแต่อำเภอท่าชนะ อำเภอไชยา อำเภอเมือง และอำเภออื่นๆ ในเขตจังหวัดสัราษฎร์ธานี มีไชยาเป็นศูนย์กลาง พบศาสนสถานและศิลปกรรมหลายแห่ง เช่น ที่วัดแก้วไชยา พระพุทธรูปและพระพิมพ์ต่างๆ แคว้นนครศรีธรรมราช มีขอบเขตในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อที่ปรากฏตามหลักฐานและเอกสารต่างๆ คือ “ตามพรลิงค์” แคว้นสทิงพระ มีขอบเขตจากบริเวณรอบทะเลสาบสงขลาถึงจังหวัดพัทลุง พบร่องรอยโบราณศิลปวัตถุที่นับถือศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา แคว้นปัตตานีมีขอบเขตครอบคลุมพื้นที่จังหวัดปัตตานีและจังหวัดยะลา พบร่องรอยเมืองท่าทีสำคัญคือ ตรังและเมืองตะกั่วป่า
อาณาจักรขอม พุทธศตวรรษที่ 11 – 19

อาณาจักรฟูนันมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทั้งกับอินเดียและจีน หลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ยังดูลางเลือนหาข้อสรุปไม่ได้แน่ชัดนัก ทราบแต่เพียงว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายคือ รุทรวรมัน และ นับถือศาสนาพราหมณ์ที่ได้รับมาจากอินเดียเป็นหลักพุทธศตวรรษที่ 12 อาณาจักรเจนละ ซึ่งแต่เดิมเป็นรัฐหนึ่งของอาณาจักรฟูนัน มีอาณาบริเวณตั้งแต่เมืองจำปาศักดิ์-ภูเขาวัดภู และในปัจจุบันคือบริเวณทางตอนใต้ของประเทศลาว และทางภาคเหนือของประเทศเขมร และ ราชธานีของอาณาจักรเจนละคือ เมือง “เศรษฐปุระ” อาณาจักรเจนละมีพื้นฐานอารยธรรมสืบต่อมาจากอาณาจักรฟูนันรวมทั้งการนับถือศาสนาพราหมณ์ด้วย
พระเจ้าภววรมัน ปฐมกษัตริย์ของเจนละได้ยึดวยาธปุระจากรุทรวรมัน ต่อมาพระอนุชาของภววรมันคือ พระเจ้ามเหนทรวรมันที่ 1 ได้เข้ายึดฟูนันและปราบปรามได้ ทำให้อาณาจักรเจนละได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม ในระหว่าง พ.ศ.1170-1250 นั้นอาณาจักรขอมมีกษัตริย์ครองราชย์คือ พระเจ้าภววรมันที่ 2 พระโอรสของพระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 และ พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 โอรสของพระเจ้าภววรมันที่ 2 ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบไพรกเมง ขึ้นระหว่างพ.ศ.1180-1250

ลัทธิเทวราชา และการก่อสร้างปราสาทขอม พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงสถาปนาลัทธิเทวราชา คือ ยกฐานะกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้าหรือเทวราชา (Deva-Raja) เป็นกษัตริย์สูงสุด ลัทธิเทวราชาหรือระบบเทวราชา ต่างจากลัทธิไศวนิกายแลไวษณพนิกาย คือ ก่อนหน้านั้นกษัตริย์เป็นเพียงมนุษย์ที่นับถือเทพเจ้า แต่ลัทธิราชานั้นถือว่ากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้าคือเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาจุติเป็นกษัตริย์นั่นเอง เมื่อกษัตริย์เสวยราชย์แล้วต้องกระทำ 3 สิ่ง คือ ขุดสระชลประทานหรือที่เรียกว่า บาราย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขมรมีความยิ่งใหญ่ เพราะเนื่องจากเขมรก็ไม่นิยมตั้งถิ่นฐานใกล้แม่น้ำเท่าใดนัก ที่เมืองพระนครก็มีบารายขนาดใหญ่หลายบาราย เช่นบารายอินทรฏกะ มะละกอเต้นระบำ กษัตริย์ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเตี้ยๆ อุทิศถวายบรรพบุรุษ หรือปราสาทขอมสร้างบนฐานเตี้ยๆเพียงชั้นเดียว เช่น ปราสาทพะโค ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของพระองค์ และยังต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเป็นชั้น หรือปราสาทขอม
แบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้นเพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า หากเป็นศาสนาพรหมณ์ลัทธิไศวนิกายก็จะประดิษฐานศิวลึงค์ทองสัญลักษณ์แห่งองค์พระอิศวร หรือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานเทว รูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้าที่ปราสาทที่พระองค์สร้างไว้นั่นเอง เช่น พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างปราสาทขอมนครวัด อุทิศถวายแด่องค์พระวิษณุ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ก็ทรงมีพระนามว่า บรมพิษณุโลก จากเหตุผล 2 ข้อหลังนี้เองที่เป็นประเพณีที่กษัตริย์เขมรทุกพระองค์จะต้องสร้างปราสาทขอมอย่างน้อยที่สุด 2 หลัง ส่วนรูปแบบของปราสาทขอมนั้น ก็พัฒนารูปแบบมาจากศาสนสถานในประเทศอินเดียที่เรียกกันว่า ศิขร เป็นศาสนสถานของศิลปะอินเดียในภาคเหนือ และ วิมาน เป็นศาสนาสถานของอินเดียภาคใต้ นอกจากนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลของ จันฑิ ศาสนาสถานในศิลปะชวาเมื่อครั้งที่อาณาจักรเจนละตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรชวาด้วย จึงเป็นการปูพื้นฐานระบบเทวราชาให้อาณาจักรอื่นๆเอาเป็นแบบอย่าง รวมถึงสยามของเราก็รับระบบนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน ระบบเทวราชานี้มีส่วนทำให้พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนัก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ต่างๆ และประกอบพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์ ด้วยเหตุนี้อาณาจักรขอมสมัยนี้จึงรุ่งเรืองด้วยการสร้างราชธานีขึ้นหลายแห่งและมีปราสาทหินที่เป็นศิลปขอมเกิดขึ้นหลายแบบ กล่าวคือ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 นั้นพระองค์ได้ทำการสร้างเมืองอินทรปุระเป็นราชธานี ขึ้นที่บริเวณใกล้เมืองกำแพงจาม สร้างเมืองหริหราลัยหรือร่อลวย เป็นราชธานี สร้างเมืองอมเรนทรปุระ เป็นราชธานี และสร้างเมืองมเหนทรบรรพต หรือพนมกุเลน เป็นราชธานี ยุคนี้ได้สร้างศิลปะขอมแบบกุเลนขึ้น

ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดรูปแบบงานศิลปกรรมเขมรที่เรียกกันว่า ปราสาทขอม หรือก็คือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่มีความสวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องด้วยปราสาทขอมเหล่านี้สร้างด้วยวัสดุที่เป็นอิฐ ศิลาทราบ และศิลาแลง (เป็นต้น) ซึ่งเป็นถาวรวัตถุจึงทำให้มีความคงทนจนถึงในปัจจุบัน แต่ว่าปราสาทขอมก็มิได้มีเพียงในเขตของประเทศเขมรเท่านั้น ยังพบในบริเวณภาคอีสานของประเทศไทยก็มีปราสาทขอมอยู่มากมายด้วยเช่นกัน เนื่องจากในบางช่วงเวลาพระราชอำนาจของกษัตริย์ที่เมืองพระนครมีความเข้มแข็ง ทำให้อำนาจทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาโบราณที่มีเหนือดินแดนประเทศไทยขยายเข้ามา ด้วยเหตุนี้ปราสาทขอมจึงถูกสร้างขึ้นในดินแดนของประเทศไทยด้วย
ระหว่างพ.ศ.1370-1420 เมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 พระโอรสได้ครองราชย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 3 หรือ พระเจ้าวิษณุโลก ครองราชย์ พ.ศ.1393-1420 พระองค์ได้กลับมาใช้เมืองหริหราลัยหรือร่อลอย เป็นราชธานี ต่อมาจนถึงรัชกาลพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้าอิศวรโลก ครองราชย์พ.ศ.1420-1432 ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบพระโคขึ้นในพ.ศ.1420-1440 ในสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้าบรมศิวโลก พระโอรสของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ซึ่งครองราชย์เป็นกษัตริย์ขอมโบราณในพ.ศ.1432-1443 นั้น พระองค์ได้สร้างเมืองยโศธรปุระหรือเมืองพระนครแห่งแรกขึ้นที่เขาพนมบาเค็ง เมื่อพ.ศ.1436 ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือทะเลสาบเมืองเสียมเรียบ เมืองนี้คนไทยเรียก เสียมราฐ การสร้างปราสาทหินขึ้นบนเขาพนมบาเค็งนั้น เป็นอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูที่แผ่อิทธิพลเข้ามายังดินแดนแถบนี้ ซึ่งถูกสมมติขึ้นเป็น
ศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อนั้น นับเป็นศิลปขอมแบบบาเค็ง

เมืองยโศธรปุระ ราชธานีแห่งนี้มีกษัตริย์ครองราชย์ต่อมาคือ พระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้ารุทรโลก พระโอรสของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ครองราชย์ พ.ศ.1443-1456 และพระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 หรือพระเจ้าบรมรุทรโลก พระอนุชาของพระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 ครองราชย์ พ.ศ.1 456-1468 จึงเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแผ่นดิน
ในที่สุดพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 หรือพระเจ้าบรมศิวบท ซึ่งเป็นน้องเขยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อาณาจักรขอมในพ.ศ.1471-1485 พระองค์ได้สร้างราชธานีขึ้นที่เมืองโฉกการยกยาร์หรือเกาะแกร์ และพระเจ้าหรรษวรมันที่ 2หรือพระเจ้าพรหมโลก พระโอรสขององค์ได้ครองราชย์ต่อมาระหว่างพ.ศ.1485-1487 ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบเกาะแกร์ พ.ศ.1465-1490
ต่อมาพระเจ้าราเชนทรวรมัน หรือพระเจ้าศิวโลก พระนัดดาของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ได้ครองราชย์ในพ.ศ.1487-1511 ได้ย้ายราชธานีมาที่เมืองยโศธรปุระ หรือเมืองพระนครแห่งแรก ยุคนี้ได้สร้างศิลปขอมแบบแปรรูป พ.ศ.1490-1510 เมืองยโศธรปุระ ราชธานีเก่าแห่งนี้มีกษัตริย์ครองราชย์ต่อมาหลายพระองค์ ได้แก่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 หรือพระบรมวีรโลก ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระเจ้าราเชนทรวรมัน ครองราชย์พ.ศ.1511-1544 สมัยนี้สร้างศิลปขอมแบบบันทายศรี พ.ศ.1510-1550 ขึ้น
พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 พระนัดดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ครองราชย์พ.ศ.1544 สร้างศิลปขอมแบบคลังขึ้นพ.ศ.1510-1560
พระเจ้าชัยวีรวรมัน ครองราชย์พ.ศ.1545(สวรรคตพ.ศ.1553)
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ครองราชย์ พ.ศ.1545-1593 สมัยนี้พระองค์ได้ทำการสถาปนาราชวงศ์ขึ้นใหม่ และน่าจะมีการสร้างเมืองพระนครขึ้นใหม่เป็นแห่งที่สอง เป็นยุคที่สร้างศิลปแบบปาบวนขึ้นใช้ในพ.ศ.1560-1630 เมืองพระนครแห่งที่สองนี้ ยังไม่มีรายละเอียด จึงสรุปไม่ได้ว่าอยู่ที่ใด
ในดินแดนพายัพนั้น เดิมหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมดเป็นถิ่นที่อยู่ของชนชาติลาว ครั้นเมื่อขอมมีอำนาจขยายอาณาจักรมาสู่ดินแดนพายัพ จึงตั้งเมืองละโว้ให้เจ้านครขอมคอยดูแล และพระนางจามเทวีพระธิดาของเจ้าผู้ครองเมืองละโว้ได้ขึ้นไปครองเมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูน) ซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงของขอมละโว้ พระธิดาเจ้าผู้ครองเมืองนี้จึงได้ปกครองพวกลาวทั้งปวงในมณฑลพายัพ เมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูน) จึงเป็นเมืองลูกหลวงของขอมละโว้ ที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้ดูแลดินแดนพายัพ ต่อมาได้ตั้งเมืองนครเขลางค์ (เมืองลำปาง) ขึ้นและปกครองร่วม
อาณาจักรทวารวดี พุทธศตวรรษที่ 11 – 16
อาณาจักรทวารวดี (พุทธศัตวรรษที่ 11 – 16) เป็นชื่อที่ใช้เรียกอาณาจักรทางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เป็นอาณาจักรที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากศาสนาพราหมณ์จากอินเดีย เป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่มี เมืองนครปฐม เป็นศูนย์กลาง หลวงจีนอี้จิง หรือ พระภิกษุอีจิ๋น และ หลวงจีนเฮียนจัง (ยวนฉ่าง) พ.ศ. 1150 ได้กล่าวไว้ในจดเหตุของท่านว่า มีอาณาจักรอันใหญ่โตอาณาจักรหนึ่ง อยู่ในระหว่างเมืองศรีเกษตร (พม่า) และอิสานปุระ (เขมร) ชื่อ โดโลปอดี้ (ทวารวดี) และอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรที่นักโบราณคดีได้สำรวจพบโบราณสถาน และพระพุทธรูป ที่สร้างตามแบบฝีมือช่างในสมัยราชวงศ์คุปตะของอินเดีย (พ.ศ.860 – 1150) เป็นจำนวนมากที่นครปฐม และแถบเมืองที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เรื่องไปทางภาคะวันออกเฉียงเหนือ จนถึงเมืองนครราชสีมา และเมืองบุรีรัมย์

จดหมายเหตุของภิกษุจีนชื่อ เหี้ยนจั๋ง หรือ พระถังซัมจั๋ง (Hieun Tsing) ซึ่งเดินทางจากเมืองจีนไปประเทศอินเดียทางบก ราว พ.ศ. 1172 – 1188 และพระภิกษุจีนชื่อ อี้จิง (I-Sing) ได้เดินทางไปอินเดียทางทะเลในช่วงเวลาต่อมานั้น ได้เรียกอาณาจักรใหญ่แห่งนี้ตามสำเนียงชนพื้นเมืองในอินเดียว่า “โลโปตี้” หรือ จุยล่อพัดดี้ (ทวารวดี) เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองศรีเกษตร (อยู่ในพม่า) ไปทางตะวันออกกับเมืองอิศานปุระ (อยู่ในเขมร) ปัจจุบันคือ ส่วนที่เป็นดินแดนภาคกลางของประเทศไทยพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า “สามารถเดินเรือจากเมืองกวางตุ้งถึงอาณาจักรทวารวดีได้ในเวลา 5 เดือน” ในสมัยแรกๆ ได้มีการสร้างพระปฐมเจดีย์ คือราว ๆ พ.ศ. 300 เคยมีอำนาจสูงสุดครั้งหนึ่ง และเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11 – 16) ปูชนียสถานที่ใหญ่โตสร้างไว้เป็นจำนวนมาก และยังเหลือปรากฎเป็นโบราณสถานอยู่ในปัจจุบัน วัดพระประโทนเจดีย์ วัดพระเมรุ วัดพระงาม และวัดดอยยาหอม เป็นต้น โบราณสถานที่ค้นพบล้วนเป็นฝีมือประณีต งดงาม มีเครื่องประดบร่างกายสตรีทำด้วยดีบุก เงิน และทอง รูปปูนปั้น มีหลักฐานทางโบราณวัตถุหลายชิ้นที่แสดงถึงการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศ เช่น จีน และที่จังหวัดสุพรรณบุรี สิงห์บุรี และชัยนาท ได้พบเหรียญเงินที่มีจารึก “ทวารวดี” ประทับอยู่ด้วย นครปฐมมีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์ เพราะปรากฏว่าได้พบปราสาทราชวังเหลือซากอยู่ เช่น ตรงเนินปราสาทในพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐมเป็นเมืองที่มีการทำเงินขึ้นใช้เอง มีการค้นพบหลักฐาน เงินตราสมัยนั้นหลายรูปแบบ เช่น รูปสังข์ ประสาท ตราแพะ ตราปรูณกลศ (หม้อน้ำที่มีน้ำเต็ม) จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า อาณาจักรทวารวดีเป็นอาณาจักรที่มีความรุ่งเรืองมากอาณาจักรหนึ่ง

ทวารวดีได้รับอิทธิพลจากอินเดียหลายอย่าง เช่น ด้านการปกครอง รับความเชื่อเรื่องการปกครองโดยกษัตริย์ สันนิษฐานว่าการปกครองสมัยทวารวดีแบ่งออกเปป็นแคว้น มีเจ้านายปกครองตนเอง แต่มีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติ การแบ่งชนชั้นในสังคมออกเป็นชนชั้นปกครองกับชนชั้นที่ถูกปกครองหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในสมัยพุทธศตวรรษที่ 11 – 13 คือเหรียญเงินเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 ม.ม. พบที่นนคปฐม และอู่ทอง พบว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “ศรีทวารวดีศวร” และ มีรูปหม้อน้ำกลศอยู่อีกด้านหนึ่ง ทำให้ชื่อได้ว่าชนชาติมอญโบราณได้ตั้งอาณาจักรทวารวดี (บางแห่งเรียก ทวาราวดี) ขึ้นในภาคกลางของดินแดนสุวรรณภูมิ และมีชุมชนเมืองสมัยทวารวดีสำคัญหลายแห่งได้แก่ เมืองนครชัยศรี (นครปฐมโบราณ น่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรในกลุ่มแม่น้ำท่าจีน) เมืองอู่ทอง (จังหวัดสุพรรณบุรีในลุ่มแม่น้ำท่าจีน) เมืองพงตึก (จังหวัดกาญจนบุรี ในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง) เมืองละโว้ (จังหวัดลพบุรี ในลุ่มแม่น้ำลพบุรี) เมืองคูบัว (จังหวัดราชบุรี) ในลุ่มแม่น้ำเมืองอู่ตะเภา (บ้านอู่ตะเภา อ.มโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) เมืองบ้านด้าย (ต.หนองเต่า อ.เมือง จ.อุทัยธี ในแควตากแดด) เมืองซับจำปา (บ้านซับจำปา จังหวัดชัยนาทในลุ่มแม่น้ำป่าสัก) เมืองขีดขิน (อยู่ในจังหวัดสระบุรี) และบ้านคูเมือง (ที่อำเภออินทรบุรี) จังหวัด
นอกจากนั้นพบเมืองโบราณสมัยทวารวดีอีกหลายแห่ง เช่น ที่บ้านหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งหมู่บ้านในเขตอำเภอบ้านหมี่ และโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เป็นต้น

ชุมชนเมืองสมัยทวารวดีในภาคเหนือ พบที่เมืองจันเสน (ต.จันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ลุ่มแม่น้ำลพบุรี) เมืองบึงโคกช้าง (ต.ไผ่เขียว อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ในแควตากแดด ลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง) เมืองศรีเทพ (จ.เพชรบูรณ์ ลุ่มแม่น้ำป่าสัก) เมืองหริภุญชัย (จ.ลำพูน ลุ่มแม่น้ำปิง) และเมืองบน (อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ ลุ่มแม่น้
ชุมชนเมืองสมัยทวารวดีที่อยู่ในภาคตะวันออก มีเมืองโบราณสมัยทวารวดีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11 – 18 อยู่ที่เมืองพระรถ (ต.หน้าพระธาตุ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ซึ่งค้นพบถ้วยเปอร์เซียสีฟ้า) มีถนนโบราณติดต่อกับเมืองศรีพะโล ซึ่งเป็นเมืองท่าสมัยพุทธศตวรรษที่ 15 – 21 (อยู่ที่ ต.หนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี ลุ่มแม่น้ำบางปะกง) ซึ่งพบเครื่องถ้วยจีนและญี่ปุ่น จากเตาอะริตะแบบอิมาริ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 22 และติดต่ดถึงเมืองสมัยทวารวดีที่อยู่ใกล้เคียงกันเช่นเมืองศรีมโหสถ (อ.โคกปีบ จ.ปราจีนบุรี) เมืองดงละคร (จ.นครนายก) เมืองท้าวอุทัย และบ้านคูเมือง (จ.ฉะเชิงเทรา)
ชุมชนเมืองสมัยทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นจึงเป็นดินแดนของชนชาติมอญโบราณ มีศูนย์กลางที่เมืองนครปฐมโบราณ (ลุ่มแม่น้ำท่าจีนหรือนครชัยศรี) กับเมืองอู่ทองและเมืองละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาได้ขยายอำนาจขึ้นไปถึงเมืองหริภุญชัยหรือลำพูน มีหลักฐานเล่าไว้ว่า ราว พ.ศ.1100 พระนางจามเทวีราชธิดาของเจ้าเมืองลวปุระหรือละโว้ (ลพบุรี) ได้อพยพผู้คนขึ้นไปตั้งเมืองหริภุญชัยที่ลำพูน ส่วนที่เมืองนครปฐมนั้นมีการพบ พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเชื่อว่าบรรจุพระพบรมธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อแรกสร้างมีลักษณะคล้ายสถูปแบบสาญจี ที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้ในอินเดีย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 3 – 4 และมีการพบจารึกภาษาปัลลวะ บาลี สันสกฤต และภาษามอญ ที่บริเวณพระปฐมเจดีย์และบริเวณใกล้เคียงพบจารึกภาษามอญอักษรปัลลวะ บันทึกเรื่องการสร้างพระพุทธรูป อายุราว พ.ศ. 1200 (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระปฐมเจดีย์) และพบจารึกมอญที่ลำพูน อายุราว พ.ศ. 1628 (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน)
สำหรับเมืองอู่ทองนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจระเข้สามพัน เดิมเป็นสาขาของแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเปลี่ยนทางเดินด้วย
ปรากฏมีเนินดินและคูเมืองโบราณเป็นรูปวงรี กว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มีป้อมปราการก่อด้วยศิลาแลง มีการพบโบราณวัตถุอายุสมัยปี พ.ศ. 600 – 1600 จำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้สำรวจพบแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกหลายแห่ง เช่น แหล่งโบราณคดีที่โบราณสถานคอดช้างดิน ต.จรเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี พบเงินเหรียญสมัยทวารวดีเป็นตรารูป แพะ สายฟ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ และรูปหอยสังข์ บางเหรียญจารึกอักษรปัลลวะและพบปูนปั้นรูปสตรีหลายคนเล่นดนตรีชนิดต่างๆ เป็นต้น เป็นหลักฐานชี้ให้เห็นว่าเมืองอู่ทองมีฐานะเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งของอาณาจักรทวารวดี เมืองนครไชยศรีโบราณ ซึ่งอยู่บริเวณที่ตั้งของวัดจุประโทณ จังหวัดนครปฐม และพบคูเมืองโบราณรูปสีเหลี่ยม ขนาด 3,600 x 2,000 เมตร มีลำน้ำบางแก้วไหลผ่านกลางเมืองโบราณออไปตัดคลองพระประโทณ ผ่านคลองพระยากง บ้านเพนียด บ้านกลาง บ้านนางแก้ว แล้วออกสู่แม่น้ำนครไชยศรี พบโบราณวัตถุสมัยทวารวดีจำนวนหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หลักฐานสำคัญของพุทธศาสนาสมัยทวารวดีนั้นพบที่ วัดโพธิ์ชัยเสมาราม เมืองฟ้าแดดสงยาง (หรือฟ้าแดดสูงยาง) อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ใกล้แม่น้ำซี ได้ค้นพบเสมาหินจำนวนมาก เป็นเสมาหินทรายสมัยทวารวดี ขนาดใหญ่อายุราว 1,200 ปี มีอายุเก่าแก่กว่าสมัยนครวัดของอาณาจักรขอม ใบเสมานั้นจำหลักเรื่องพุทธประวัติโดยได้รับอิทธิพลมาจากศิลปแบบคุปตะของอินเดีย และได้พบเสมหินบางแท่งมีจารึกอัการปัลลวะของอินเดียด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึงการสิ้นสุดของอาณาจักรทวารวดีไว้ว่า “พระเจ้าอนุรุทรมหาราชแห่งเมืองพุกามประเทศพม่า ทรงยกกองทัพเข้ามาโจมตีอาณาจักรทวารวดี จนทำให้อาณาจักรทวารวดีสลายสูญไป”ต่อมาอาณาจักรขอมหลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคต ใน พ.ศ.1732 อำนาจก็เริ่มเสื่อมลงทำหให้บรรดาเมืองประเทศราชที่อยู่ในอิทธิพลของขอมต่างพากันตั้งตัวเป็นอิสระ ดังนั้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ซึ่งได้พระนางสิขรเทวี พระธิดาขอมเป็นมเหสี และได้รับพระนามว่า “ขุนศรีอินทราทิตย์” พร้อมพระขรรค์ชัยศรี ได้ร่วมกันทำการยึดอำนาจจากขอม และให้พ่อขุนบางกลางหาว สถาปนาเป็น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และประกาศตั้งอาณาจักรสุโขทัยเป็นอิสระจากการปกครองของขอม
อาณาจักรทวารวดีมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ประมาณ 200 ปี จีงค่อยๆ เสื่อมลง พวกขอมขณะนั้นกำลังรุ่งเรืองก็ถือโอกาสตีเมืองทวารวดี ที่ละเมืองสองเมือง จนถึง พ.ศ. 1500 อาณาจักรทวารวดีก็เสื่อมลง และตกอยู่ในอำนาจของพวกขอม พวกขอมได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย นำไปใช้เป็นทาสทำงานต่างๆ จนถึง พ.ศ. 1800 คนไทยในหัวเมืองต่างๆ ในแคว้นสุวรรณภูมิ เช่น ลพบุรี อู่ทอง กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ได้ร่วมกันยึดอำนาจการปกครองจากขอมได้สำเร็จ แต่เมืองนครปฐมได้กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว เนื่องจากแม่ท่าจีน และแม่น้ำแม่กลองที่ไหลผ่านเมืองทวารวดีได้เปลี่ยนทิศทางใหม่ ไหลผ่านจากตัวเมืองไปมาก จนทำให้นครปฐม (ทวารวดี) เป็นที่ดอนขึ้น ไม่เหมาะที่จะทำไร่ทำนา ผู้คนจึงอพยพย้ายถิ่นไปอยู่ในเมืองอื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น