แนวคิดเรื่องถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย
แนวความคิดที่ 1 เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต

ความคิดที่ว่ากำเนิดของชนชาติไทยอยู่ที่เทือกเขาอัลไตนี้ ขุนวิจิตรมาตรา (รองอำมาตย์โท สง่า กาญจนาคพันธุ์) ข้าราชการที่มีความสนใจประวัติศาสตร์ไทย มีความเห็นสอดคล้องกับแนวความคิดนี้ จึงได้นำมาขยายความต่อ โดยได้ศึกษาค้นคว้าและเขียนผลงานออกเผยแพร่ในหนังสือชื่อ หลักไทย ซึ่งพิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2471 มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวได้ดังนี้
“....... ในชั้นแรกที่เดียว ไทยจะมีชาติภูมิอยู่ตรงไหนนั้น ไม่มีทางทราบได้ชัด แต่อาจกล่าวได้กว้างๆ ว่ามีแหล่งเดิมอยู่ในบริเวณภูเขาอัลไตอันเป็นบ่อเกิดของพวกมงโกลด้วยกันเท่านั้น ภายหลังาจึงแยกลงมาข้างใต้ มาตั้งภูมิลำเนาใหญ่โตขึ้นในลุ่มน้ำเหลือง ขณะที่จีนแยกไปเรียรายอยู่ตามชายทะเลสาบคัสเปียนทางด้านตะวันตก พร้อมกันกับพวกตาต ซึ่งเที่ยวไปมาอยู่แถวทะเลทรายชาโมหรือโกบีใกล้ๆ กับบ้านเกิดนั้นเอง พวกไทยได้ชัยภูมิเป็นอู่ข้าวอู่น้ำบริบูรณ์ดีกว่าพวกอื่นๆ จึงเจริญก้าวหน้าบรรดาสายมงโกลด้วยกัน.......”
ปัจจุบันมีผู้คัดค้านแนวความคิดนี้มาก เนื่องจากหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ประเกอบกับเทือกเขาอัลไตอยู่ในเขตหนาว ซึ่งอยู่ห่างไกลจากประเทศไทยในปัจจุบันมาก หากมีการอพยพโยกย้ายลงมาจริงก็จะต้องผ่านอากาศหนาวเย็น และทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทุรกันดาร เป็นระยะทางยาวไกลยากที่จะมีชีวิตรอดมาเป็นจำนวนมากได้
แนวความคิดที่ 2 เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน

ลาคูเปอรี่ได้แนวความคิดนี้จากการค้นคว้าประวัติศาสตร์และภาษาโบราณาของจีน โด่ยเสนอความเห็นไว้ในบทนำของหนังสือ Amongst the Shans ตีพิมพ์ที่อังกฤษใน พ.ศ.2428 ในบทความนี้ลาคูเปอรีสรุปว่าคนเชาติไทยเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน
ความเป็นมาของชนชาติไทยตามแนวความคิดของลาคูเปอรีนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงแสดงทัศนะในแนวเดียวกันไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง แสดงบรรยายพงศาวดารสยาม ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทบรรยายของพระองค์ที่ทรงบรรยายไว้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2467 ว่า ดินแดนแถบประเทศไทยแต่เดิมเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกละว้า มอญ เขมร คนไทยอยู่แถบทิเบตติดต่อกับเขตแดนจีน (มณฑลเสฉวนปัจจุบัน) ราว พ.ศ. 500 ถูกจีนรุกราน จึงอพยพมาอยู่ที่ยูนนาน และแยกย้ายกันไปทางตะวันตก คือ เงี้ยว ฉาน ทางใต้คือ สิบสองจุไทย และทางตอนล่างคือ ล้านนา ล้านช้าง
สำหรับนักวิชาการไทยท่านอื่นๆ แม้ผลงานจะปรากฏในช่วงเวลาแตกต่างกัน แต่ประเด็นของเรื่องก็สอดคล้องกัน เช่น
ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน (เสถียรโกเศศ) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ที่เขียนขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลเอกสารชื่อ เรื่องของชาติไทย (พ.ศ. 2483) ว่า ถิ่นเดิมของคนไทยอยู่ทางตอนกลางของประเทศจีนในลุ่มแม่น้ำแยงซี ฝั่งซ้ายตั้งแต่มณฑลเสฉวนไปจดทะเลทางตะวันออก
พระบริหารเทพธานี กล่าวไว้ในผลงาน ซึ่งได้จากการศึกษา ค้นคว้า คือ เรื่อง พงศาวดารชาติไทย (พ.ศ. 2496) ว่า ถิ่นเดิมของไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีน ต่อมาอพยพลงมาที่มณฑลยูนนาน และค่อยๆ ลงมาทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
หลวงวิจิตรวาทการ เป็นอีกท่านหนึ่งสนใจเรื่องถิ่นกำเนิด ของชาติไทย ท่านได้แสดงทัศนะไว้ในหนังสือ สยามกับสุวรรณภูมิ (พ.ศ. 2467) และงานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย (พ.ศ. 2499) สรุปว่า เดิมคนไทยอยู่ทางตอนกลางของจีน ในดินแดนซี่งเป็นมณฑลเสฉวนร ฮูเป อันฮุย และเกียงซีในปัจจุบัน แล้วค่อยๆ อพยพลงมาสู่มณฑลยูนานและแหลมอินโดจีน
ปัจจุบันได้มีหลักฐานการค้นคว้าใหม่ๆ แย้งแนวความคิดนี้ว่าคนไทยเป็นพวกประกอบอาชีพการเพาะปลูกพืชเมืองร้อน โดยเฉพาะการปลูกข้าว จึงน่าจะอยู่ในที่ราบลุ่มในเขตร้อนชื้นมากกว่าบริเวณที่เป็นภูเขาอันฮุยหรือที่ราบสูงซึ่งมีอากาศหนาว
แนวความคิดที่ 3 เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน

โคลฮูนเสนอแนวความคิดนี้ หลังจากเขาเดินทางสำรวจโดยออกเดินทางจากวางตุ้ง ประเทศจีนไปทางตะวันตกถึงเมืองมันฑะเลย์ในพม่า ผลการสำรวจของเขาปรากฎอยู่ในหนังสือชื่อ ไครเซ (Chryse) ตีพิมพ์ที่อังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2428 ได้ข้อสรุปว่ามีคนเชื้อชาติไทยอาศัยอยู่ตามบริเวณที่เขาเดินทางผ่านไปโดยตลอด
นักวิชาการตะวันตกที่มีความคิดเห็นสอดคล้องกับแนวความคิดนี้ ที่สำคัญคือ อี.เอช. ปาร์คเกอร์ (E.H. Parker) และ โวลแฟรม อีเบอร์ฮาร์ด (Wolfram Eberhard) ปาร์คเกอร์เคยเป็นกงสุลอังกฤษประจำเกาะไหหลำ และได้เขียนบทความเรื่อง น่านเจ้า พิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2437 สรุปใจความสำคัญว่า น่านเจ้าซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักรที่ยูนานนั้นเคยเป็นของไทย
อีเบอร์ฮาร์ด ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันได้ศึกษาเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ. 2491 และได้แสดงแนวความคิดไว้ในหนังสือชื่อ A History of China ยืนยันว่าคนไทยมีถิ่นกำเนิดใกล้ปากแม่น้ำแยงซี ในมณฑลเสฉวน ต่อมาได้อพยพถอยร่นลงมาจนถึงมณฑลยูนนาน
นักวิชาการไทยที่มีผลงานการค้นคว้าที่สอดคล้องกับแนวความคิดนี้คือ พระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) ผู้แต่งหนังสือ พงศาวดารโยนก ซึ่งเชื่อว่าถิ่นกำเนิดาของชนชาติไทยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณตอนใต้ของจีน รวมไปถึงรัฐอัสสัมของอินเดีย ท่านได้เล่าถึงวิธีการศึกษาค้นคว้าของท่านไว้ในคำนำหนังสือพงศาวดารโยนกว่า ข้าพเจ้าได้สอบสวนกับพงศาวดารพม่า รามัญ ไทยใหญ่ ล้านช้าง และพงศาวดารจีน พงศาวดารเหนือ พระราชพงศาวดารสยาม และพงศาวดารเขมรกับหนังสือต่างๆ ในภาษาอังกฤษด้วย หนังสือเรื่องนี้พิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2450 เนื้อหาแต่ละตอนล้วนเกี่ยวกับเรื่องราวการอพยพของคนไทยจากตอนใต้ของประเทศจีนทั้งสิ้น
นอกจากนี้ศาสตราจารย์ ขจร สุขพานิช (พ.ศ. 2456 – 2521) ซี่งเคยเป็นกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ก็มีความเชื่อว่าถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่ทางตอนล่างของจีน หลังจากที่ได้ค้นคว้าหลักฐานทางฝ่ายไทยตรวจสอบกับความเห็นของอีเบอร์ฮาร์ด และหมอดอดด์ แล้วลงความเห็นว่า คนไทยมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ตอนใต้ของจีนในเขตมณฑลกวางตุ้ง กวางสี ต่อมาได้อพยพมาทางตะวันตก ตั้งแต่มณฑลเสฉวนลงล่างเรื่อยมาจนเข้าเขตสิบสองจุไทยลงมาในเขตประเทศลาว
แนวความคิดนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน นักวิชาการาชาวตะวันตกบางท่านได้ขยายแนวความคิดนี้ออกไป ทำให้มีสมมุติฐานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น อย่างเช่นมีข้อเสนอว่า ถิ่นกำเนิดของคนไทยน่าจะอยู่มณฑลกวางสีและมณฑลกวางตุ้ง เพราะอยู่ในเขตร้อนชื้น บ้างก็ว่าน่าจะอยู่ห่างไกลจากน่านเจ้าไปทางตะวันออก คือแนวเขตแดนระหว่างมณฑลกวางสีของจีนกับบริเวณที่ต่อกับเขตของเวียดนาม เป็นต้น
แนวความคิดที่ 4 เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในแหลมมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย

นายแพทย์ประเวศพบว่ามีเฮโมโกลบิน อี (Hgb. E) ในเลือดของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมาก เช่นเดียวกับที่พบในกลุ่มของชาวมอญ ละว้า และเขมร แต่แทบไม่พบในคนจีน จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่คนไทยจะเคยอาศัยอยู่ในดินแดนปรแทศจีน
เมื่อนำไปประกอบกับความเห็นาของพอล เบเนดิกต์ (Poul Benedict) นักภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งเสนอไว้เมื่อ พ.ศ. 2485 ว่า ภาษาไทยเป็นภาษาเป็นภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน (กลุ่มชวา – มลายู) คนเผ่าไทยจึงน่าจะเป็นชนชาติเดียวกับชวา – มลายู จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ชนชาติไทยน่าจะอพยพมาจากทางตอนใต้ คือ จากหมู่เกาะอินโดนีเซียและแหลมมลายู แล้วเลยขึ้นไปทางเหนือถึงบริเวณตอนใต้ของประเทศจีนและอาจอพยพถอยร่นลงมาอีกครั้งหนึ่ง จนสามารถตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน
แนวความคิดนี้แม้จะมีผู้เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่ก็มีความคิดเห็นโต้แย้งอยู่ จึงจะต้องค้นหาหลักฐานอื่นๆ มาประกอบให้แนวความคิดนี้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
แนวความคิดที่ 5 เชื่อวาถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันนี้เอง

แนวความคิดนี้เพิ่งเกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 2510 ภายหลังที่ได้มีการสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยอย่างจริงจัง นักวิชาการคนสำคัญในกลุ่มแนวความคิดนี้ ได้แก่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และ ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี
การสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยเท่าที่ควรนำมากล่าว มีดังนี้
1. การสำรวจและขุดค้นที่บริเวณสองฝั่งแควน้อยและแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี ของคณะสำรวจไทย-เดนมาร์ก พ.ศ.2503 – 2505 และ พ.ศ. 2509
2. การสำรวจและขุดค้นที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และในพื้นที่ในเขตจังหวัดของแก่น สกลนคร และนครพนม ด้วยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐอเมริกา และบริติชมิวเซียม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2509 – 2510
จากการขุดพบโครงกระดูกที่จังหวัดกาญจนบุรี ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางกายวิภาคผู้ร่วมการสำรวจขุดค้นยืนยันว่า เป็นโครงกระดูกยุคหินใหม่อายุประมาณ 4,000 ปี มีลักษณะสำคัญตรงกับโครงกระดูกของคนไทยในปัจจุบัน น่าเชื่อว่าโครงกระดูกที่พบนั้นเป็นโครงกระดูกของคนไทย จึงน่าเป็นไปได้ว่า ถิ่นกำเนิดเดิมของคนไทย คือ บริเวณที่เป็นประเทศไทยเรานี้เอง ไม่ได้อพยพโยกย้ายมาจากที่ไหนเลย สำหรับหลักฐานที่ขุดพบที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี นั้น แม้นักวิชาการยังไม่อาจลงความเห็นสรุปว่าเป็นของบรรพบุรุษของคนไทยหรือไม่ แต่ก็เป็นหลัฐานบ่งบอกว่าได้มีชุมชนที่พัฒนามาถึงขั้นทำภาชนะดินเผาและเครื่องมือเครื่องใช้ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยเป๋นเวลาหลายพันปีมาแล้ว
เมื่อนำมาประกอบความเห็นเรื่องเฮโมโกลบิน อี (Hgb. E) ของนายแพทย์ประเวศ วะสี ที่บอกว่าคนไทยไม่น่าจะเคยอาศัยอยู่ในประเทศจีน และไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดใดๆ เกี่ยวกับการอพยพโยกย้ายของคนไทยเลย ทำให้น่าเชื่ออย่างยิ่งว่าคนไทยไม่ได้มาจากไหน แต่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในดินแดนที่เป็นอาณาบริเวณประเทศไทยนี้เอง และคงจะสืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมานานแสนนานแล้ว
ตลอดเวลาอันยาวนานนั้น ชนชาติไทยย่อมต้องเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทิพลของชนชาติอื่นที่ผลัดเปลี่ยนกันแผ่อำนาจเข้ามา เช่น มอญ และเขมร เป็นต้น หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบที่มีอักษราจารีกเป็นภาษามอญบ้าง เขมรบ้าง และสันสกฤตบ้างนั้น คงจะแสดงถึงอำนาจอิทิพลของชนชาติเหล่านั้นเท่านั้น คงจะมิได้หมายความว่า ดินแดนนี้เป็นที่อยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วไป แม้ภาษาและการแต่งกายจะผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง แต่วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และถ้อยคำในภาษาส่วนใหญ่ยังแสดงว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนไทย และยังคงเรียกตนเองว่าเป็นคนไทย (ไต หรือ ไท)
หลักฐานทางโบราณคดี หลักฐานทางเฮโมโกลบิน อี และหลักฐานจากความจริงในปัจจุบันที่มีคนเชื้อชาติไทยกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน และบริเวณโดยรอบ ดังกล่าวมาแล้วนี้ยืนยันวาดินแดนนี้เป็นที่อยู่อาศัยของไทยมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ อาจถือได้ว่าเป็นแหล่างกำเนิดของชนชาติอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังคงไม่ได้รับการยอมรับกันทั่วไป คงจะต้องศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานมาสนับสนุนเพิ่มเติมอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น